โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ศาลรัฐธรรมนูญ ฟัน ‘พิเชษฐ์’ พ้นสมาชิกภาพ สส.

The Bangkok Insight

อัพเดต 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา • The Bangkok Insight

ศาลรัฐธรรมนูญ ฟัน "พิเชษฐ์" พ้นสมาชิกภาพ สส.-เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี

วันนี้ (1 ส.ค.) องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัย ในคดีที่นายภัณฑิล น่วมเจิม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย กว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม

ศาลรัฐธรรมนูญ

กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ผู้ถูกร้อง เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการ เสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ ที่นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

และกรณีที่สำนักงานเลขาธิการสภาฯ มีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณปี 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยโดยสรุปว่า ประเด็นแรก แม้ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างว่า ในการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ได้มอบหมายให้นายจีรพงศ์ ที่ปรึกษาคณะทำงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ขณะนั้น ดำเนินการจัดทำโครงการ ผู้ถูกร้องเพียงแค่มอบนโยบายให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และยังลงนามในบันทึกข้อความ แต่ไม่ได้เขียนข้อความว่าให้เสนอคำแปรญัตติ ไม่ได้ประทับตราคำว่า เห็นชอบ แต่เป็นบุคคลอื่นเขียนข้อความและประทับตราดังกล่าว

แม้ผู้ถูกร้องลงลายมือชื่อเพียงประการเดียวโดยไม่ได้เขียนข้อความ แต่การลงลายมือชื่อในเอกสารราชการย่อมต้องพิจารณาข้อความของเอกสารก่อนประกอบกับผู้ถูกฟ้องมีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 การลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่าเห็นด้วยกับข้อความในเอกสาร หากไม่เห็นด้วยย่อมต้องสั่งให้มีการแก้ไข ดังนั้นการลงลายมือชื่อแม้ไม่ใช่เป็นการเขียนข้อความย่อมหมายความว่าเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว จึงฟังได้ว่าผู้ถูกร้องเห็นชอบให้แปรญัตติทั้ง 3 โครงการ

ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างว่าไม่ได้มี หรือเข้าไปมีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อนำงบประมาณไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้พบว่าทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการที่จัดทำขึ้น ผู้ถูกร้องมีส่วนในการพิจารณาดำเนินโครงการและมุ่งเน้นดำเนินการในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้อง ทำให้มีพฤติการณ์และการกระทำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 3 โครงการ

ประเด็นที่ 3 โครงการทั้งสามมีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้นเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2568-2570 แม้ไม่ได้ระบุพื้นที่ในการจัดกิจกรรม แต่จากการคำเบิกความของพยาน ประกอบกับบันทึกคำเบิกความพยานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกร้องไม่ได้หักล้างให้การเป็นอย่างอื่น ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ได้จากข้อพิจารณา มีน้ำหนักรับฟังสอดคล้องกันว่าผู้ถูกร้องเห็นชอบให้อนุมัติสั่งการให้เสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้งสาม

ศาลรัฐธรรมมนูญ เห็นว่าผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งในสภาฯ 2 สถานะคือ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง และ สส. การใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในการดำริให้เสนอคำขอจัดสรรงบประมาณหรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณในโครงการทั้งสามเป็นการใช้อำนาจในสถานะของรองประธานสภาฯ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจตามที่ประธานสภาฯ มอบหมาย หมายความว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนี้จะต้องมีสถานะพื้นฐานมาจากความเป็น สส. มีหน้าที่และอำนาจในเชิงบริหาร

วันที่มีการเสนอคำของบประมาณและคำแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 เกี่ยวกับโครงการทั้งสาม ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่ง สส. และรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เมื่อผู้ถูกร้องเป็นผู้ดำริให้ดำเนินโครงการทั้งสาม จึงเชื่อได้ว่าย่อมใช้อำนาจให้คณะกรรมการแต่ละคนแต่ละคณะในเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้อง การดำเนินโครงการดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมีเจตนานำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้กับผู้ถูกร้องในเขตเลือกตั้ง อันเป็นการกระทำที่ใช้สถานะรองประธานสภาฯ เพื่อประโยชน์ของตนเองในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้ง ถือได้ว่าผู้ถูกร้องทำการเสนอและแปรญัตติมีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 144 วรรคสอง

ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ สส.นับตั้งแต่วันที่ศาลธรรมนูญมีคำวินิจฉัย 1 ส.ค.68 และเพิกถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง 10 ปี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The Bangkok Insight

มมส. ยกเว้นค่าเทอมทุกระดับการศึกษา แก่ครอบครัวทหารผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ

21 นาทีที่แล้ว

กองทัพบกสั่งใช้ ‘ระบบต่อต้านโดรน’ ทั่วประเทศ หลังพบมีบินตรวจการณ์

29 นาทีที่แล้ว

พยากรณ์อากาศวันนี้ 2 ส.ค. ‘มรสุมอ่อน’ ทำไทยตอนบนฝนน้อย – ทะเลอันดามัน คลื่นสูงกว่า 2 เมตร

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘อ.ปริญญา’ แฉหลักฐานใหม่ ‘ฮุนเซน-ฮุน มาเนต’ ทำผิดรัฐธรรมนูญกัมพูชา

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

‘หมอมิ้ง’ ยัน ‘ทักษิณ’ ไม่ได้ครอบงำ ชี้ ‘นายกฯ’ จะปรึกษาใครก็ได้ ต้องใจกว้าง ๆ

The Bangkok Insight

จับตา 24 ก.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนคดี ‘พิเชษฐ์’ โยกงบลงพื้นที่

The Bangkok Insight

สว.เห็นชอบ ‘สราวุธ’ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ส่วน ‘ร.ต.อ.สุธรรม’ ไม่ผ่าน

The Bangkok Insight
ดูเพิ่ม