ศิลปะ NFT ตายแล้ว ?
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2021 เราเห็น NFT (Non-Fungible Token) เป็นกระแสแรงมาก ดารา เซเลบ ศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกต่างพากันซื้อกันถ้วนหน้า แต่จริง ๆ แล้ว NFT มีมาตั้งแต่ปี 2014 ด้วยซ้ำ ปัจจุบัน NFT ไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าแต่ก่อน จนเกิดคำถามว่า ‘NFT ตายไปแล้วหรือเปล่า ?’ บทความนี้จะมาไขคำถามนี้
2014 : จุดกำเนิด NFT
NFT ชิ้นแรกชื่อ ‘Quantum’ ถูกสร้าง (มินต์) โดย เควิน แมคคอย (Kevin McCoy) หลังจากนั้นก็มีผลงานอื่น ๆ ตามมา เช่น เกมบล็อกเชน ‘Spell of Genesis’ (2015), การ์ดสะสม ‘Rare Pepes’ (2016), ‘CryptoPunks’ (2017) พร้อมเกม CryptoKitties (2017) บน Ethereum, และเกม ‘Axie Infinity’ (2018)
ในปี 2017 วงการ NFT ได้กำหนดมาตรฐาน ERC-721 บน บล็อกเชน Ethereum ซึ่งเป็นมาตรฐานแรกที่สร้างโทเคนเฉพาะตัวและไม่สามารถทดแทนได้ จนกลายเป็นคุณสมบัติของ NFT ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม NFT ที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่มีคนสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะอะไรวงการ NFT ยังไม่โตในช่วง 2014-2020 ?
ในช่วงปี 2014-2020 การสะสม NFT ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- ความซับซ้อนและเข้าถึงยาก : เทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโทฯ ยังใหม่สำหรับคนทั่วไป ทำให้ NFT เข้าใจยาก แพลตฟอร์มซื้อขายก็ใช้งานยาก
- โครงสร้างพื้นฐานจำกัด : บล็อกเชน Ethereum มีข้อจำกัดด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมสูง ทำให้การสร้างและซื้อขาย NFT ไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายสูง
- กฎหมายไม่ชัดเจน : การขาดกฎระเบียบที่ชัดเจนสร้างความไม่มั่นคงและอุปสรรคต่อการลงทุน
- ตลาดผันผวนสูง : มูลค่า NFT ผันผวนตามตลาดคริปโทฯ ทำให้คนลังเลที่จะลงทุน
- การใช้งานจำกัด : NFT ยังมีกรณีการใช้งานเฉพาะกลุ่ม เช่น งานศิลปะหรือของสะสมบางประเภท ยังไม่แพร่หลายในวงกว้าง
- ปัญหาด้านความปลอดภัย : ปัญหาการแฮก การละเมิดลิขสิทธิ์ และการฉ้อโกง ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในตลาด
2020-2021 จุดพลิกผันวงการ NFT และการกำเนิด ‘Bored Ape Yacht Club’
ในปี 2020 NFT เริ่มกลับมาสร้างความฮือฮามากขึ้น เพราะ Ethereum เข้าถึงง่ายขึ้น และคนเข้าใจ NFT มากขึ้น ทำให้เกิดผลงานดัง ๆ ตามมา เช่น
- Decentraland : เกมบล็อกเชนที่ผู้ใช้ซื้อขายที่ดินเสมือนจริงและไอเท็มได้ เปิดตัวปี 2020 ทุกอย่างในเกมเป็น NFT ที่มีฟังก์ชันการใช้งานและถูกตีมูลค่าได้ ถือเป็นโลกเสมือนจริงแรก ๆ ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของ และเป็นต้นแบบของ Metaverse
- NBA Top Shot : โปรเจกต์ NFT ยอดนิยม ให้แฟนกีฬาเป็นเจ้าของคลิปช่วงเวลาสำคัญจากการแข่งขัน NBA ช่วยผลักดันให้คนรู้จักบล็อกเชนและ NFT มากขึ้น โดยปี 2021 มีผู้ใช้มากกว่า 1.1 ล้านคน
- Art Blocks : เปิดตัวปี 2020 ทำให้การสร้างงาน Generative Art ง่ายขึ้น ผู้ใช้เลือกโปรเจกต์แล้วมินต์ NFT ได้เลย ผลงานศิลปะไม่ซ้ำใครจะถูกสร้างขึ้นแบบสุ่มทันที และคอลเลกชันมักถูกคัดสรรมาอย่างดี มีมาตรฐานสูงด้านความเป็นเอกลักษณ์
ทั้งหมดนี้เป็นช่วงที่ NFT เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนในปี 2021 ทั่วโลกได้รู้จักกับ ‘Bored Ape Yacht Club (BAYC)’ ซึ่งเป็นตัวพลิกโฉมวงการ NFT ด้วยการเป็นคอลเลกชันภาพลิงสุดฮิต สร้างโดยบริษัท Yuga Labs มี 10,000 รูป ไม่ซ้ำกัน ผู้ซื้อเป็นเจ้าของสิทธิ์นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้เต็มที่ และมักขายกันในราคาแพง (สูงสุด 1.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023) ทำให้ BAYC เป็น ตัวอย่าง NFT ที่ดังที่สุดและทำเงินได้มากที่สุด อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของ กระแสใช้ NFT เป็นรูปโปรไฟล์ (Avatar) และทำให้ NFT กลายเป็น ปรากฏการณ์ Pop Culture ที่ทุกคนรู้จัก
ความดังของ BAYC ไม่ได้มาจากแค่ตัวงานศิลปะ แต่มาจาก ‘สถานะและชื่อเสียง’ ที่ได้จากการครอบครอง สิ่งสำคัญคือ ชุมชนของคนรัก BAYC ซึ่งมีทั้งดาราและคนดังหลายคนเป็นสมาชิก การมีลิง BAYC เหมือนกับการได้ตั๋วเข้าคลับ Bored Ape Yacht Club ซึ่งสมาชิกจะได้รับสิทธิ์พิเศษมากมาย เช่น สินค้าเฉพาะ กิจกรรมพิเศษ และสิทธิ์ในการโหวต
ความนิยมลดลง ความมั่นคงหายไป : เมื่อกระแสหด ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม
ปัญหาของ NFT คือในช่วงที่มีคนสนใจมาก ๆ และเซเลบพากันปั่นราคาอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาพุ่งสูงเกินจริง หลายคนเข้ามาเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว บวกกับมี NFT เกิดขึ้นมามากเกินไป ทำให้มีคนขายแต่ขาดคนซื้อ เมื่อขายไม่ได้ ราคาก็ลดลง นักเก็งกำไรจึงเทขาย ทำให้ฟองสบู่แตกในเวลาอันสั้น รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น
- ขาดประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจน : NFT จำนวนมากถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีคุณค่าหรือประโยชน์ใช้สอยที่จับต้องได้นอกเหนือจากการเป็นของสะสมหรือการเก็งกำไร ทำให้ผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงมูลค่าที่แท้จริง
- ตลาดคริปโทฯ ซบเซา : มูลค่าของ NFT ส่วนใหญ่เชื่อมโยงโดยตรงกับสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะ Ethereum ซึ่งเข้าสู่ภาวะตลาดหมีในช่วงเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลลดลง
- ปัญหาด้านความปลอดภัยและการฉ้อโกง : การแฮก การปลอมแปลงงานศิลปะ และการฉ้อโกงรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาด NFT ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ อย่างกรณีใช้ผลงานศิลปินที่เสียชีวิตแล้วมาทำ NFT
NFT ไปไม่รอดแล้ว ?
จากข้อมูลนี้ ยังไม่สามารถยืนยันได้เต็มปากว่า NFT ‘ตาย’ ไปแล้ว แต่ความนิยมลดลงเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าในอนาคต NFT อาจกลับมาบูมได้ หากมีปัจจัยที่สามารถสร้างความนิยมที่มั่นคงได้ ซึ่งควรมาจาก ‘ผู้ผลิต’ ไม่ใช่ ‘ผู้ที่เข้ามาเก็งกำไร’
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ภาพวาดของแวน โก๊ะ (Van Gogh) ไม่ได้มีชื่อเสียงเพราะเทคนิคการวาดหรือภาพสวยงาม แต่เพราะมีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจเข้ามาสนับสนุน ทำให้ภาพวาดของเขามีคุณค่าและราคาสูงขึ้น NFT ก็อาจต้องการ ‘Wow Factor’ หรือสิ่งที่น่าดึงดูดมาก ๆ เพื่อกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ซึ่ง Wow Factor อาจต้องมีปัจจัยสำคัญหลัก ๆ ก่อน คือ
- Value Authority : ผู้ให้อำนาจทางคุณค่าว่าสินค้า NFT ชิ้นหนึ่ง ๆ มีคุณค่า
- Social Stage : พื้นที่แสดงคุณค่านั้น ๆ เพื่อให้เกิดการยอมรับทางสังคม
- Utility : การนำไปใช้งานในชีวิตจริง นอกจากการสะสม
การหา Key Player ที่มั่นคงก่อน อาจทำให้ NFT มีบทบาทสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตลาด NFT ปัจจุบันยังขาด Wow Factor ตรงนี้ นึกภาพว่าเรามีชิ้นงานศิลปะที่ซื้อมาแต่ไม่มีใครเห็นคุณค่า และไม่มีเรื่องราวที่ทำให้คุณค่านั้นอยู่ในระยะยาว มันก็ไม่น่าลงทุนแล้วจริงไหม ? และต่อให้ไฮป์ก็คงไฮป์ได้ไม่นาน
แต่ถ้า Disney ออก NFT ของ Mickey Mouse อย่างเป็นทางการ NFT ชิ้นนั้นจะมีน้ำหนักทางวัฒนธรรมทันที เพราะได้รับการสนับสนุนจากเรื่องราวที่แฟน ๆ นับล้านรู้จักและมีร่วมกัน (มีอำนาจทางคุณค่า) และถ้าบริษัทใหญ่อย่าง Microsoft หรือ Google จัดหาแพลตฟอร์มที่สามารถแสดงหรือใช้ NFT ดังกล่าวได้ NFT นั้นก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางสังคมที่มองเห็นได้และได้รับการยอมรับมากขึ้น
โดยสรุปแล้ว NFT อาจมีโอกาสกลับมาบูมได้ หากมีปัจจัยที่มั่นคงและขับเคลื่อนโดย ‘ผู้ผลิต’ (Creator) ไม่ใช่ ‘ผู้เก็งกำไร’ ซึ่งจะทำให้ NFT อยู่ได้ยาวนาน และมั่นคงมากขึ้นในตลาด