เตือนปะทะยืดเยื้อ เศรษฐกิจไทย-กัมพูชากอดคอพัง 1.8 แสนล้าน จี้เร่งปักปันเขตแดน
หลังเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาต่อเนื่องตลอด 5 วัน (24–28 กรกฎาคม 2568) ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยมีผลทันทีตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงในพื้นที่กลับสะท้อนความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง เมื่อกองกำลังกัมพูชายังคงระดมยิงเข้าสู่ฝั่งไทยในหลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงโดยตรง
ล่าสุด (29 ก.ค.) รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ขอให้กัมพูชาแสดงความจริงใจในการยุติความรุนแรง พร้อมยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกา และจีน ในฐานะพยานร่วมในการเจรจาหยุดยิง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์ชายแดนยังอยู่ในภาวะเปราะบางและสุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งสองประเทศ หากไม่มีการยุติความรุนแรงอย่างจริงจังในระยะเร่งด่วน
ปะทะ 5 วันทุบเศรษฐกิจไทยหมื่นล้าน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่จะมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยหลักคือขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน แต่หากประเมินในเบื้องต้นตั้งแต่เริ่มอพยพประชาชนในพื้นที่ สถานการณ์น่าจะดำเนินมาหลักสัปดาห์ ถ้าประเมินแบบเร็ว ๆ ไม่นับรวมผลกระทบทางการค้าก็น่าจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน รัฐบาลยังมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออีก 4.2 หมื่นล้านบาท จากวงเงินในก้อน 1.57 แสนล้านบาท หลังจากจัดสรรให้โครงการต่าง ๆ ไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท วงเงินที่เหลือเบื้องต้นจัดสรรไปแล้ว 1 หมื่นกว่าล้านบาท เหลืออีกราว 2.5 หมื่นล้านบาทที่จะสามารถนำมารองรับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาได้ แต่อาจจะไม่เพียงพอก็คงต้องดึงงบประมาณในส่วนอื่นเข้ามาเสริมด้วย
“ผมต้องรวบรวมเอางบมาใช้ ซึ่งรวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย เพราะจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะต้องมีการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนอีกเยอะมาก ดังนั้นงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 2.5 หมื่นล้านบาทอาจจะไม่พอ อาจต้องเอางบที่อื่นมาช่วยด้วย ส่วนถามว่าจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มหรือไม่ เบื้องต้นยังไงก็ต้องใช้เงินตามกรอบงบประมาณ ส่วนการกู้เงิน ก็ต้องกู้ตามแผนของงบประมาณด้วยเช่นกัน” นายพิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าอาจจะยังมีการยิงตอบโต้กันอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
โอกาสกลับมายิงใหม่ 80%
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” วิเคราะห์ฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นหลังผลการเจรจาหยุดยิงว่า แบ่งได้เป็น 3 ฉากทัศน์ คือ
ฉากทัศน์ที่ 1 การจะเกิดสันติภาพอย่างยั่งยืน มองว่ามีโอกาสเป็นศูนย์ เนื่องจากไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ฉากทัศน์ที่ 2 การหยุดยิงแล้วกลับมายิงใหม่ มีโอกาสความน่าจะเป็นไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งล่าสุดเหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และอาจจะยังมีโอกาสการปะทะกันได้อีก ดังตัวอย่างในปี 2554 ข้อพิพาทไทย-กัมพูชากรณีปราสาทพระวิหาร มีการเจรจาหยุดยิงแล้วก็กลับมายิงกันใหม่ รวมถึงกรณีของอินเดีย-ปากีสถาน และอิสราเอล-ฮามาส ก็มีประกาศหยุดยิงแล้ว แต่ก็มายิงกันใหม่ เนื่องจากประเด็นปัญหาของทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่
ฉากทัศน์ที่ 3 การเจรจาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการหยุดยิง มีโอกาสสำเร็จและล้มเหลว 50 : 50 เพราะยังมีหลายประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายยังมองไม่ตรงกัน เช่น ในการปักปันเขตแดน ไทยใช้อัตราส่วนของแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ขณะที่กัมพูชาใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ขณะที่กัมพูชาทำหนังสือเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นผู้พิจารณาตัดสิน ส่วนฝ่ายไทยมุ่งใช้กลไกทวิภาคี ในการเจรจาแก้ไขปัญหา
“ข้อตกลงหยุดยิงในครั้งนี้ผมมองว่าเป็นชัยชนะของไทย ในการเริ่มต้นนับ 1 ในการเจรจาแบบทวิภาคีหรือการเจรจาแบบสองฝ่ายในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศที่ทับซ้อนอยู่กันหลายปัญหา จากเดิมฝ่ายกัมพูชาจะเดินหน้าใช้ช่องทางศาลโลกอย่างเดียว”
ยืดเยื้อ 3 เดือนสองฝ่ายสูญ 1.8 แสนล้าน
สำหรับสถานการณ์การปะทะกันของกองกำลังของทั้งสองฝ่าย หากสถานการณ์มีความยืดเยื้อ ตนได้จำลองฉากทัศน์ผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจของกัมพูชาและไทย โดยหากยังยืดเยื้ออีก 1 เดือน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศได้รับความเสียหายรวมกันประมาณ 60,562 ล้านบาท (ผลกระทบการค้าชายแดน ธุรกิจจังหวัดชายแดน การจ้างงานคนไทย ชาวกัมพูชาว่างงาน กระทบรายได้แรงงาน กระทบรายได้ธุรกิจท่องเที่ยว และเม็ดเงินการลงทุน)
ส่วนหากปะทะกันนาน 2 เดือน จะกระทบเศรษฐกิจสองฝ่ายได้รับความเสียหายมูลค่าราว 121,124 ล้านบาท และหากปะทะยืดเยื้อนาน 3 เดือน จะกระทบเศรษฐกิจสองฝ่ายเสียหายประมาณ 181,685 ล้านบาท อย่างไรก็ดีหากทั้งสองฝ่ายสามารถยุติการหยุดยิงได้จริง และเปิดด่านชายแดนให้กลับมาเป็นปกติมูลค่าความเสียหายดังกล่าวก็จะลดลง
หวังเร่งปักปันเขตแดนสำเร็จ
นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า ภาคเอกชนยังเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งอยากเห็นเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และเปิดเจรจากันในหลายเรื่องที่เป็นปัญหาระหว่างกันด้วยความจริงใจ ซึ่งในประเด็นแรกที่เป็นประเด็นสำคัญคือในเรื่องดินแดน ต้องดำเนินการให้มีความชัดเจนและแล้วเสร็จก่อน โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน และมีการสร้างกลไกในการเจรจาให้ยอมรับในเงื่อนไขเดียวกัน หลังจากนั้นการเปิดด่านการค้าจะตามมาเอง
ทั้งนี้หลังผลเจรจาหยุดยิง ภาคธุรกิจไทยและกัมพูชาที่อยู่ตามแนวชายแดนรู้สึกโล่งอกเปราะหนึ่ง ขณะที่นักธุรกิจไทยในกัมพูชาก็สบายใจขึ้น และหวังว่าการค้าการลงทุนระหว่างไทยและกัมพูชาจากจะกลับมาสู่ปกติในเร็ววัน
ไทย-กัมพูชาฉุดเศรษฐกิจทรุด
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเป็นตัวเร่งให้มูลค่าเศรษฐกิจชายแดนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยผลกระทบในระยะยาว ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสูญเสียชีวิตของทั้งสองฝ่าย สิ่งนี้อาจนำไปสู่การพิจารณา ย้ายฐานการผลิตและธุรกิจ ออกจากพื้นที่ชายแดน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
“การค้าการลงทุนระหว่างประเทศในพื้นที่ชายแดนจะได้รับผลกระทบรุนแรง ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวและแสวงหาตลาดรองรับใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง”
การสะท้อนปัญหา อุปสรรค และแนวทางความต้องการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาเพื่อทำลายขวัญกำลังใจ แต่ต้องการให้เกิดมิติการแก้ไขปัญหาเชิงรุก ที่ตระหนักถึงความเร่งด่วน รอบคอบ รัดกุม รวดเร็ว และขยายผลประโยชน์แท้จริงให้เกิดกับทุกภาคส่วนของไทย
ชาตินิยมกระทบสินค้าไทย
ด้านนางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า ผลกระทบจากสถานการณ์กัมพูชาต่อภาคธุรกิจขณะนี้ยังไม่ชัดเจน แต่กังวลว่าความรู้สึกชาตินิยมของชาวกัมพูชาอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าไทยในอนาคต เพราะประเทศไทยส่งสินค้าส่งสินค้าอุปโภคภบริโภคไปขายในกัมพูชามากพอสมควร
หากมองภาพในระยะยาว สถานการณ์นี้อาจไม่กระทบต่อการลงทุนในประเทศไทยเนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ชายแดน ส่วนแรงงานกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย จะเห็นตามโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตอาหารแช่แข็ง โรงงานแปรรูปไก่ โรงงานผลิตอาหารทะเล ส่วนใหญ่น่าจะยังอยู่ในประเทศไทยและไม่ส่งผลต่อการผลิต สิ่งที่จะส่งผลโดยตรงคือเรื่องภาษีสหรัฐมากกว่า
"หากสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติได้ จำเป็นต้องมีการหารือและวางแผนใหม่ในการส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชาเพื่อรักษาตลาด สร้างความเชื่อมั่นระหว่างคู้ค้ากับธุรกิจไทย ซึ่งสินค้าไทยเป็นสินค้าที่คนต้องการอยู่แล้ว เพราะเรื่องคุณภาพเรามาอันดับต้น ๆ ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ"
ยื้อ 3 เดือนส่งออกหาย 5 หมื่นล้าน
ขณะที่นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล ประเทศไทย กล่าวว่าหากสถานการณ์ความไม่สงบไทย-กัมพูชา ยังยืดเยื้อต่อเนื่องในระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้านหลักอย่างรุนแรง ได้แก่ ภาคการส่งออกชายแดน การลงทุนจากต่างชาติ และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ตะวันออกและเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ
“หากวิกฤตยังไม่คลี่คลายภายใน 1-3 เดือนนับจากนี้ จะทำให้มูลค่าการส่งออกตามแนวชายแดนหายไปประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาททันที เนื่องจากพื้นที่ชายแดนตะวันออก โดยเฉพาะจุดผ่านแดนถาวรหลายแห่งใน จ.สระแก้ว และ จ.ตราด ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการส่งออกสินค้าจำเป็นไปยังกัมพูชา หากยืดเยื้อถึง 6-10 เดือน มูลค่าการส่งออกที่สูญเสียอาจสูงถึงแสนล้านบาท และถ้าเกิน 1 ปี สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่แค่ตัวเลขที่หายไปแต่จะเป็นการเสียโครงสร้างการส่งออกไปอย่างถาวร”
ทั้งนี้หากไทยไม่สามารถส่งออกผ่านชายแดนได้ในระยะยาว กัมพูชาอาจหันไปจัดหาสินค้าจากแหล่งอื่น เช่น สปป.ลาว เวียดนาม หรือแม้กระทั่งจีน ซึ่งมีทั้งศักยภาพด้านการผลิตและฐานทัพเรือที่สามารถลำเลียงสินค้าขึ้นฝั่งในพื้นที่ชายแดนด้านล่างได้โดยตรง
ลากยาว 3 เดือนเที่ยวไทยวูบล้านคน
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า)กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ฉากทัศน์ หลังยุติการหยุดยิง หากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติภายใน 1 เดือน มีผลกระทบกับ ช่วงไตรมาสสุดท้ายหรือ พีคซีซันน้อย เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยตลอดทั้งปีนี้ 34.5-35 ล้านยังมีความเป็นไปได้สูง
หากกลับสู่ภาวะปกติภายใน 3 เดือน จะมีผลกระทบ ถึงไฮซีซันปลายปีนี้ ซึ่งมีโอกาส จะกระทบตลาด ภาพใหญ่ ทั้งนักท่องเที่ยวยุโรป และ สหรัฐอเมริกา ในช่วงพีคซีซัน อาจจะเหลือ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้ ต่ำกว่า 33-34 ล้านคน
แต่หากต้องใช้เวลากลับสู่ภาวะปกตินาน 6 เดือน จะมีผลกระทบถึงปีหน้า การท่องเที่ยวจะกระทบรุนแรง เพราะกระทบคลุมยาวถึงเมษายนปีหน้า เท่ากับตลอดพีคของปีนี้ และต้นปีหน้ากระทบหมด และเที่ยวบินที่มีย้ายเส้นทางไปจากกระทบตลาด อาจมีผลต่อตลาดทั้งปีหน้า ทำให้ตลาดหดตัวจากปีนี้เพิ่มขึ้น