กรมควบคุมโรค เผย 'โรคมือเท้าปาก-RSV' กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ขอพ่อแม่สังเกตอาการ เมื่อป่วยให้หยุดเรียน
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิและโฆษกกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิและโฆษกกรมควบคุมโรค ร่วมแถลงข่าวเฝ้าระวังโรคหน้าฝนเดือนสิงหาคม ว่า สำหรับโรคที่ต้องเฝ้าระวังขณะนี้ ประกอบด้วย 1.โรคโควิด-19 ข้อมูลในปี 2568 สูงขึ้นเมื่อช่วงสงกรานต์ แต่ขณะนี้มีแนวโน้มลดลง โดยรอบปีนี้มีการระบาด 42 เหตุการณ์ ได้แก่ โรงเรียน เรือนจำ ค่ายทหาร และสถานพยาบาล ทั้งนี้ในช่วงฤดูฝนยังต้องเฝ้าระวัง เพราะมีโอกาสที่จะพบผู้ป่วยมากขึ้น โดยข้อมูลล่าสุด พบผู้ป่วยสะสม 603,363 ราย เสียชีวิต 247 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.04% ส่วนใหญ่พบในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มีโรคประจำตัว ขณะที่สายพันธุ์ที่ระบาดยังคงเป็น NB.1.8.1 โดยมีสายพันธุ์ที่ต้องจับตาคือ XFG ที่อาจแพร่ระบาดได้เร็วขึ้น 2.โรคไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยสะสม 418,818 ราย เสียชีวิต 53 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.013% แนวโน้มการป่วยค่อนข้างคงที่ ซึ่งจะพบการระบาดในฤดูฝน แต่ในปีนี้พบว่าการระบาดพบสูงในช่วงต้นปี ส่วนช่วงกลางปีมีแนวโน้มไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายๆ ปี เพราะคนมีภูมิต้านทานโรคตั้งแต่ต้นปี โดยสายพันธุ์ที่พบมากคือ สายพันธุ์ A/H1N1 การติดเชื้อพบมากในกลุ่มเด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กมีจำนวนเข้าโรงพยาบาลสูงกว่า แต่พบการเสียชีวิตมากที่สุดในผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีที่มีโรคประจำตัว
3.โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอักเสบเฉียบพลัน หรือ RSV ปีนี้พบผู้ป่วยสะสม 1,556 ราย ยังไม่มีรายงานเสียชีวิต เป็นโรคสำคัญในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนมีแนวโน้มสูงขึ้นและสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยกำลังจะเข้าสู่การระบาด ซึ่งต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเด็กเล็ก 0-4 ปี ทั้งนี้ โรคอาร์เอสวี มีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและล่าง คล้ายกับโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ แต่มักมีความรุนแรงมากกว่าในกลุ่มเด็กเล็ก เด็กคลอดก่อนกำหนด ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน โดยการติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย การสัมผัสสิ่งของในสิ่งแวดล้อมปนเปื้อน โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่น ซึ่งเชื้อสามารถมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมนาน จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจไม่ควรเข้าใกล้กลุ่มเสี่ยง อย่างไรก็ตาม โรคนี้มีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ โดยแนวทางรักษาคือให้ยาตามอาการ ยังไม่มียาต้านไวรัสจำเพาะ
4.โรคปอดอักเสบ ผู้ป่วยสะสม 245,337 ราย เสียชีวิต 402 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.164% ซึ่งสูงกว่าโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ ซึ่งแนวโน้มผู้ป่วยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งผู้ปอดอักเสบ 10 ราย ต้องมีผู้นอนโรงพยาบาลถึง 3 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็ก 0-4 ปี และผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ส่วนผู้เสียชีวิตพบสูงสุดในกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี
“โดยโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจหลายโรคยังไม่มียาจำเพาะในการรักษา ฉะนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ดีทีสุด ด้วยการล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เมื่อมีอาการป่วยให้เลี่ยงสถานที่มีคนพลุกพล่าน และสวมหน้ากากอนามัย ขณะที่คำแนะนำเรื่องวัคซีนป้องกันนั้น โรคไข้หวัดใหญ่จะเน้น 7 กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่ควรเข้ารับวัคซีน ซึ่งมีการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเป็น 6 ล้านโดส” นพ.วีรวัฒน์ กล่าว
5.โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่มาพร้อมฤดูฝน ขณะนี้มีผู้ป่วย 30,792 ราย เสียชีวิต 29 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.09% ซึ่งช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงที่พบผู้ป่วยสูงที่สุด โดยปัจจุบันพบผู้ป่วยสูงในภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำพูน และ แม่ฮ่องสอน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ศรีสะเกษ และภาคใต้ คือ ภูเก็ต ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยเรียน ช่วง 10-14 ปี แต่การเสียชีวิตจะมากในกลุ่มผู้ใหญ่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรคคาดการณ์ว่าจะพบผู้ป่วยโรคนี้ไม่เกิน 7 หมื่นราย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยคือ โรคอ้วน นอกจากนั้นยังเป็นกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ติดสุรา ผู้ที่ได้รับยาลดไข้กลุ่มยา NSAIDs (เอ็นเสด) ซึ่งไม่ปลอดภัย จึงแนะนำให้กินกลุ่มยาพาราเซตามอนจะปลอดภัยที่สุด ซึ่งคำแนะนำประชาชนคือ การกำจัดแหล่งกำเนิดยุงลาย การทายากันยุง สังเกตอาการป่วย โดยเฉพาะอาการไข้สูงลอยมากกว่า 2 วัน หากไข้ลดลง แต่อาการไม่ดีขึ้น มีอาการซึมลงให้รีบไปพบแพทย์ เนื่องจากผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งคือมาพบแพทย์ช้า ทำให้เกิดภาวะช็อกได้
6.โรคมือเท้าปาก พบผู้ป่วยสะสม 34,287 ราย ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้นของการระบาด โดยผู้ป่วยในปีนี้สูงกว่าปีที่แล้วและสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง โดยพบผู้ป่วยมากในช่วงอายุ 0-4 ปี พบผู้ป่วยมากในภาคใต้และเหนือ จังหวัดที่มีการป่วยสูงสุด คือ สงขลา 3,520 ราย ภูเก็ต 612 ราย และ นราธิวาส 730 ราย โดยในปีนี้พบการระบาด 48 เหตุการณ์ในศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียน อย่างไรก็ตาม มีการเฝ้าระวังสายพันธุ์การเกิดเชื้อมือเท้าปาก พบมากในสายพันธุ์ Coxsackievirus A16, Coxsackievirus A6 และ Enterovirus 71 ส่วนวัคซีนป้องกันโรคจะมีความสามารถป้องกันเฉพาะสายพันธุ์ ฉะนั้น ถ้ามีการระบาดโดยเชื้อที่ไม่อยู่ในวัคซีน ก็จะเกิดการระบาดได้ และผู้ที่ฉีดวัคซีนก็มีโอกาสติดเชื้อได้ เพราะมีหลายสายพันธุ์ ทั้งนี้ ระยะฟักตัวของโรคไม่เกิน 5 วัน อาการพบบ่อยคือ ไข้ เจ็บปากเพราะมีแผลบริเวณกระพุ้งแก้ม และคอ ซึ่งการสัมผัสเชื้อได้จากสิ่งของ ของเล่น เชื้ออยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ ทำให้เกิดการระบาดในโรงเรียนสูง จึงต้องเน้นการล้างมือให้สะอาด สวมหน้ากากอนามัย ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น และเลี่ยงพบเด็กเล็กเข้าสู่ที่แออัด พร้อมหยุดเรียนเมื่อป่วย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กรมควบคุมโรค เผย ‘โรคมือเท้าปาก-RSV’ กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ขอพ่อแม่สังเกตอาการ เมื่อป่วยให้หยุดเรียน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th