ศูนย์กลางแสกมเมอร์รอบไทย การค้ามนุษย์เบื้องหลังอาชญากรรมออนไลน์ในอาเซียน
การสแกม เหยื่อถูกหลอก การค้ามนุษย์กลายเป็นภัยคุกคามสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในเวทีเสวนา GCNT Expo 2025 ภายใต้หัวข้อ "Restoring trust, rescuing lives: Fighting Human Trafficking Behind Online Scams" ตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ร่วมหารือถึงปัญหาการค้ามนุษย์และอาชญากรรมออนไลน์ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงข้ามพรมแดน ซึ่งกำลังกลายเป็นภัยความมั่นคงระดับโลก
ชนาพัทร์ มณีดุลย์ ผู้จัดการโครงการประจำประเทศไทย โครงการอาเซียน-ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ค้ามนุษย์เพื่ออาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบัน เริ่มต้นจากการขยายตัวของ การพนันออนไลน์ในจีน ซึ่งส่งผลให้เครือข่ายอาชญากรรมขยายมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกันการพัฒนาเทคโนโลยี การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้คนตกงาน และการใช้ คริปโตเคอร์เรนซี ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้ระบบอาชญากรรมเติบโตอย่างรวดเร็ว
ชนาพัทร์ประเมินว่า ขณะนี้มีเหยื่อกว่า 300,000 คน จาก 60 ประเทศทั่วโลก ที่ถูกหลอกลวงมาทำงานในเครือข่าย Scam Centers ทั่วภูมิภาค โดยเหยื่อจำนวนมากถูกลวงให้มาทำงานด้าน “ออนไลน์” เช่น ตอบแชต เป็นแอดมิน หรือเทเลมาร์เก็ตติ้ง โดยไม่มีการบอกล่วงหน้าว่าเป็นงานที่ผิดกฎหมาย
Jill Huinder ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและสิทธิมนุษยชนจาก UNDP Global กล่าวถึงลักษณะของการค้ามนุษย์รูปแบบใหม่นี้ว่าเป็น Modern Slavery หรือ "ทาสยุคใหม่" ซึ่งไม่ได้มีแค่คนที่ถูกหลอกมาทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนที่ถูกชักชวนให้ “ลงทุน” และสูญเสียเงินทองให้กับกลโกงอีกด้วย กล่าวได้ว่ามีเหยื่ออยู่ในทุกฝั่งของวงจรนี้
พ.ต.ต.สิริวิชญ์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า การฉ้อโกงทางไซเบอร์ในลักษณะนี้มีความเกี่ยวข้องกับ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่โยงกับคาสิโน ธุรกิจยาเสพติด ฟอกเงิน และการแสวงหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ความมั่นคงและเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น การเปิดพื้นที่ให้ลงทุน หรือช่องโหว่จากการเมืองในประเทศต่างๆ
“ผู้เสียหายจำนวนมากถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัว เมื่อมาถึง Scam Center แล้วไม่สามารถหนีออกไปได้ หากทำยอดไม่ได้ หรือปฏิเสธงาน ก็อาจถูกลงโทษ ทั้งร่างกายและจิตใจ กลายเป็นแพะรับบาป ส่วนตัวการที่อยู่เบื้องหลัง มักเป็นเครือข่ายจีนเทา ยังลอยนวล”
พ.ต.ต.สิริวิชญ์ยังระบุด้วยว่า ปัญหานี้ไม่ใช่แค่การค้ามนุษย์ธรรมดา แต่เป็น ภัยต่อความมั่นคงระดับโลก เพราะเกิดข้ามประเทศ เหยื่ออยู่ประเทศหนึ่ง เหตุเกิดอีกประเทศหนึ่ง และกลุ่มอาชญากรอยู่ในอีกประเทศหนึ่ง ทำให้การสืบสวนและบังคับใช้กฎหมายมีความซับซ้อน ทั้งในเรื่องของการขอข้อมูล, หลักฐาน และการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศ
เขายังเน้นว่า การป้องกันเป็นหน้าที่รองของ DSI แต่การสืบสวนสอบสวนคือภารกิจหลัก โดยงานที่เกี่ยวข้องมีทั้งระบบการเงิน บัญชีธนาคาร การสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต และกลุ่มฟอกเงิน ซึ่งเกี่ยวพันกับทั้งองค์กรในประเทศและต่างประเทศ
ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ Facebook ประเทศไทย ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน กล่าวว่า ปัญหาเหล่านี้เกี่ยวพันกับหลายภาคส่วน ทั้งเรื่อง แรงงานบังคับ การบังคับให้ทำผิดกฎหมาย และการสื่อสารที่ถูกใช้เป็นช่องทางดำเนินการ
เขาเปิดเผยว่า Meta ได้ทำการ ปิดบัญชีมากกว่า 2 ล้านบัญชี ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ แต่ก็ยอมรับว่า การปิดบัญชีไม่ใช่คำตอบสุดท้าย สิ่งที่ Meta เน้นคือการร่วมมือกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อยับยั้งกลไกเบื้องหลัง
“บทบาทสําคัญ คือเป็นบทบาทของผู้บังคับใช้กฎหมาย ทั้งในประเทศที่มีเหยื่อ กับประเทศที่เป็นที่ตั้ง แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งภาคเอกชน อาจจะไม่ได้มีอํานาจในการสืบสวนข้อมูล แต่ สามารถร่วมสนับสนุนได้บ้าง และอีกส่วนคือ การให้ความรู้กับภาคประชาชน ซึ่งส่วนนี้ มองว่าเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน สื่อแพลตฟอร์ม สถาบันทางการเงินโทรคมนาคม”
สุดท้ายแล้ว ทุกภาคส่วนเห็นพ้องว่า การแก้ปัญหานี้ต้องการความร่วมมืออย่างเป็นระบบและข้ามพรมแดน ต้องมีการกำหนดนโยบายในทิศทางเดียวกัน เพิ่มความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมกับสร้างความรู้ ความเข้าใจ และภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- มองวิกฤตให้เป็นโอกาส พลิกเกม Supply Chain สู่การปรับตัวอย่างยั่งยืน
- ปลดล็อค "ไทย" เดินหน้า "Sustainable Finance" ขยายโอกาส สู่มาตรฐานการเงินโลก
- คดีหลอกลวงซื้อ - ขายออนไลน์ พบผู้หญิงวัยทำงานตกเป็นเหยื่อ 64%
- GCNT EXPO 2025 รวมพลัง เร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน 29 – 31 ก.ค.นี้
- 119 ปีไม่พอจะหยุดบัญชีม้า? เมื่อโทษแรง แต่โครงสร้างอาชญากรรมยังแข็งแกร่ง