กนอ. ชี้ภาษี 19% ไทยยังแกร่ง จ่อคลอดแพ็กเกจดึงลงทุน ดันตัวเลขปลายปีพุ่ง
นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ รองผู้ว่าการ (สำนักผู้ว่าการ) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศตัวเลขภาษีนำเข้าจากไทยที่ 19% แล้วนั้น นักลงทุนมองว่าเมื่อตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มีความแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ทำให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันได้ ส่วนรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือและเงินสนับสนุนผู้ประกอบการอยู่ระหว่างนำเสนอ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีการสรุปอย่างชัดเจนเร็วๆ นี้
นายเริงฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามาตรการส่งเสริมของไทยถือว่าสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ อีกทั้งในบางเรื่องถือว่าดีกว่าถือเป็นข้อดี อีกทั้ง จากตัวเลขภาษีที่เวียดนามโดนเก็บในอัตราที่ 20% สูงกว่าไทย ตรงนี้ถือเป็นอีกข้อได้เปรียบของไทย ดังนั้น อาจจะต้องดูในรายละเอียดว่าจะมีมาตรการอื่น ๆ ตามมาหรือไม่ แต่โดยรวมแล้ว การที่อัตราภาษีของไทยออกมาใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคที่มีโครงสร้างเหมือนกัน ทำให้ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกัน
"โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวยังคงมีผลกระทบการเติบโตของ GDP"
นายเริงฤทธิ์ ตอบคำถามว่า หลายสำนักที่วิเคราะห์ออกมาว่า ภายใน 4-5 ปีนี้ หากไทยไม่ทำอะไรเลย เวียดนามจะแซงหน้านั้น นายเริงฤทธิ์ ตอบว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไทยจะต้องเร่งออกมาตรการต่างๆ ให้เร็วที่สุด ตามที่นายเอกนัฏ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ระบุไว้ คือ กนอ. จะต้องทำให้การดำเนินธุรกิจในไทย สะดวก สะอาด และโปร่งใส เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
นอกจากนี้ กนอ. ยังให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเทรนด์ในอนาคตที่หากอุตสาหกรรมใดไม่ให้ความสำคัญก็จะขายสินค้าได้ยาก ดังนั้นจึงต้องเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการจัดสรรพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรองรับ และการออกมาตรการจูงใจ (Incentive) ที่ดีกว่าเพื่อนบ้านเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาในไทยให้ได้โดยเร็ว เพราะหากปล่อยให้ช้า เมื่อนักลงทุนย้ายฐานการผลิตไปแล้ว การจะดึงกลับมาก็เป็นเรื่องยาก
“ตอนนี้เป็นช่วงที่ประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ นิ่งแล้ว นักลงทุนที่รอดูอยู่จะเริ่มตัดสินใจได้แล้ว เราจึงต้องรีบออกแคมเปญและมาตรการมาดึงดูดอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าช่วงปลายปีนี้ตัวเลขการลงทุนจะดีดตัวกลับขึ้นมาอย่างแน่นอน หลังจากที่ชะลอตัวไปเพราะความกังวลเรื่องภาษี"
นายเริงฤทธิ์ ตอบคำถามถึงเป้าหมายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมขับเคลื่อน GDP ให้ได้ 1% ว่า ถือเป็นอีกเรื่องที่ต้องเร่งผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถแข่งขันได้ทันกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
สำหรับนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในกัมพูชาแถบศรีโสภณ นั้นนายเริงฤทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะระบุว่าจะมีโอกาสกลับมาไทยหรือไม่ แต่หากมองภาพรวมแล้ว ภาคอุตสาหกรรมในไทยไม่ได้แพ้กัมพูชา อีกทั้ง ยังมีความเสี่ยงน้อยกว่า จึงอาจมีแนวโน้มที่จะกลับมาได้ แต่ต้องพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเยอะ ซึ่งอาจจะดึงกลับมาได้ยากกว่า จึงมองว่าการผลัดกดันเรื่องของนวัตกรรม AI สำคัญเพื่อตอบรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นายเริงฤทธิ์ ยืนยันว่า กนอ. ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และกลุ่มภาคการเงิน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งในด้านกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ และกฎหมาย รวมถึงส่งเสริมด้านการเงิน โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎระเบียบให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และกำกับดูแลโรงงานที่เข้ามาตั้งในไทยให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
“เราเชื่อว่ามาตรการที่ดีของเราที่ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีนี้จะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น และคาดว่าภายใน 2-3 เดือนนี้ ตัวเลขการลงทุนจะดีดตัวขึ้นอย่างแน่นอน"