หลายคนคิดว่าการมีสุขภาพดีของคนทำงานต้องจ่ายแพง… แต่

เมื่อก่อนอยากทำงานในออฟฟิศ ช่วงเช้าได้เดินเข้างานแบบสับๆ พอตกเย็นก็ตอกบัตรกลับบ้าน พักผ่อนชิลๆ ดูหนัง ทำงานบ้าน ไปฟิตเนส ทำอาหารสุขภาพทานตอนเย็น ชีวิตดีๆ ที่ลงตัวเวอร์

แต่พอเข้ามาทำงานได้สักพัก ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามไปหมด แทนที่จะได้เดินเข้างานสับๆ เหมือนนางแบบมืออาชีพ กลับต้องรีบวิ่งหน้าตั้งมาให้ทันเข้างาน เพราะออฟฟิศดันอยู่ไกลจากบ้านเหลือเกิน ส่วนตอนกลับไม่ต้องพูดถึง อย่าว่าแต่ดูหนังชิลๆ เลย กว่าจะเอาตัวเองหลุดจากรถไฟฟ้า มาต่อรถเมล์ มาต่อวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยได้ ก็ผลาญเวลาไป 2-3 ชั่วโมงแล้ว

ไหนใครบอกว่า เป็นคนทำงานแล้วจะพอมีเวลามากมายให้พักผ่อนและสร้างเสริมสุขภาพที่ดี ทุกวันนี้มีเวลาพักผ่อนครบ 8 ชั่วโมงก็เกินคาดแล้ว มิหนำซ้ำวันดีคืนดี เจ้านายอยากเร่งให้จบโปรเจ็กต์ไวๆ ก็มาฉกฉวยเวลาพักผ่อนของเราไป เรียกได้ว่ามีปัญหาร้อยแปดพันเก้าอยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะคว้ามันได้ไหม

ครั้งนี้ The MATTER จึงได้รวบรวม 10 เรื่องที่เราจะได้รับแบบฟรีๆ เมื่อ 2 เท้าเริ่มก้าวเข้าสู่ชีวิตทำงานอย่างเต็มตัว

ออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดหัว = ฟรี

ทำงานออฟฟิศทั้งที จะขาดโรคยอดฮิตอย่างออฟฟิศซินโดรมไปได้อย่างไรกัน

เข้ามาทำงานวันแรกๆ นั่งหลังตรง เชิดหน้า พร้อมพิมพ์งานสู้ ทว่าสถานะปัจจุบันกลับโดนงานสู้กลับ นั่งทำงานแทบทั้งวันไม่ได้ลุกไปยืดเส้นยืดสายที่ไหน สภาพหลังงอจนกลายเป็นกุ้ง จะลุกหรือยืดที ก็มีเสียงดังกรอบแกรบ ทางด้านไหล่เรียกได้ว่าแข็งเป็นหิน นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีเจ้ากรรมนายเวรมานั่งเล่นอยู่บนไหล่ยังไงยังงั้น ส่วนหัวไม่ต้องพูดถึง เพราะปวดยิ่งกว่าอะไร ยิ่งวันไหนเจองานยากๆ ก็นับถอยหลังรอหัวระเบิดได้เลย

สถานการณ์พร้อมขนาดนี้ มีหรือที่ออฟฟิศซินโดรมจะไม่มาเยี่ยมหา

ไม่มีเวลานอน = ฟรี

ไหนใครบอก เวลาพักผ่อนและนอนหลับเต็มอิ่มครบ 8 ชั่วโมง เป็นของฟรี ใครๆ ก็มีได้ บอกได้เลยว่า ‘คนมีไม่ใช่เรา ส่วนเราดันไม่มี’

พอถึงเวลาจะพักผ่อน เจ้านายก็ดันทักมาขอให้ส่งงานพรุ่งนี้ก่อน 7 โมงเช้า เราก็ต้องรีบลุกขึ้นมานั่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ แบกสติให้ครบ ดื่มกาแฟให้หายง่วง ทำงานให้เสร็จตามเจ้านายสั่ง เป็นอย่างนี้วนไปอยู่อย่างนั้น ทุกวันนี้แค่จะนอนหลับให้ครบ 8 ชั่วโมงยังจะยาก อย่าหวังเลยว่าจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นในชีวิต

ไม่โดนแดด เพราะออกจากออฟฟิศก็มืดพอดี = ฟรี

หากใครเป็นคนทำงานที่ต้องเข้างานเช้า เลิกงานดึก คงจะเข้าใจดีว่าการจะได้รับวิตามิน D จากแสงแดดในช่วงเวลาที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องยากอยู่ไม่น้อย เพราะหากที่ทำงานตั้งอยู่ไกล ก็ต้องออกจากบ้านเช้าตรู่ ตั้งแต่แดดแรกของวันยังไม่ทันขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ พอตกเย็นก็ดันไม่เจอแดดอีก กว่าจะก้าวเท้าออกจากออฟฟิศ ฟ้าก็มืดเรียบร้อยแล้ว ระหว่างวันก็ต้องนั่งขลุกตัวทำงานอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหน จนบางทีก็แอบคิดว่า ทรัพยากรที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างแสงแดด ก็มีคนอีกไม่น้อยที่เข้าไม่ถึงเหมือนกัน

ปะทะฝีปากกับเพื่อนร่วมงาน = ฟรี

มาทำงานแต่ละที นอกจากจะต้องเตรียมตัวและสติมาให้พร้อมแล้ว ก็ยังต้องเตรียมฝีปากมาให้คม เพื่อรอปะทะกับเพื่อนร่วมงานด้วย หลายต่อหลายครั้ง ปัญหาจะไม่ทวีคูณความปวดหัวเลย ถ้าไม่มีเหล่าเพื่อนร่วมงานตัวดี ผู้ช่วยให้ทุกทางออกคือปัญหามากขึ้น

ทุกวันนี้หลายคนอาจมองว่า ออฟฟิศคือสนามอารมณ์ของคนทำงาน ความเครียดจากการทำงานที่ลอยครึ้มเหมือนเมฆฝน พอรวมตัวกันได้ที่ ก็ตู้ม เริ่มปะทะกันได้ บางคนด่ากันสาดเสียเทเสีย บางคนก็วีนสนั่น ราวกับขาดน้ำตาลมาไม่ต่ำกว่า 3 วัน กลายเป็นคนทำงานจริงแทบทนไม่ได้ พอเกิดความคิดจะย้ายหนี ก็กลัวอีกว่าที่ข้างหน้าจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า ท้ายสุดเราก็เริ่มกลายเป็นคนเครียดเสียเอง พอถึงแมตช์ถัดไป ก็ขอกระโจนลงสนาม ปะทะฝีปากกับเหล่าเพื่อนร่วมงานตัวแสบนี้หน่อยละกัน

หัวหน้างานเพี้ยน = ฟรี

‘การมีหัวหน้าดีคือลาภอันประเสริฐ’

คำพูดนี้คงไม่เกินจริง เพราะในหลายออฟฟิศก็มีหัวหน้าตัวดีนี่แหละ เป็นอุปสรรคสำคัญของคนทำงานอย่างเราๆ หัวหน้าบางคนก็ทำตัวเพี้ยนสารพัด บรีฟอย่างหนึ่งจะเอาอีกอย่างหนึ่ง หัวหน้าบางคนก็ชอบควบคุม สั่งการลูกน้อง หรือหัวหน้าบางคนก็ชอบใช้อารมณ์นำเหตุผล จะเข้าไปปรึกษาเรื่องงานแต่ละที ต้องระมัดระวังสังเกตอีกฝ่ายว่า มีท่าทางหงุดหงิดอยู่หรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้น เดินดุ่มๆ เข้าไป มีหวังโดนวีนเปิดเปิงแน่นอน

เดินทางเป็นชั่วโมง = ฟรี

หากมีคนในออฟฟิศสัก 10 คน ก็อาจมีอย่างน้อยสัก 1-2 คน ที่ใช้เวลาเดินทางมาทำงานเป็นชั่วโมงแน่นอน บางคนเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ก็ต้องเหนื่อยกับการต่อรถเมล์ เปลี่ยนขบวนรถไฟ ขึ้นวิน ลงเรือ ส่วนใครที่เดินทางด้วยรถส่วนตัว ยิ่งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมือง ยิ่งต้องใช้เวลานานมากขึ้น แถมยังมีปัญหารถติด ทำให้เราต้องติดแหง็กอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ร่วมกับปัญหาในการทำงานที่ต้องเผชิญในแต่ละวันอีก บอกได้เลยว่าเหนื่อยคูณสองแน่นอน

Work ไร้ Balance = ฟรี

หลายออฟฟิศบอกที่นี่ ‘Work Life Balance’ แต่พอเข้าไปทำจริงๆ นี่มัน ‘Work ไร้ Balance’ ชัดๆ

วันหยุดแทนที่จะได้พักผ่อน ทำงานบ้าน หรือออกไปเที่ยวให้ฉ่ำใจ แต่กลับต้องมาคอยแก้งานนู้นส่งงานนี้ พอขอเอางานไปทำวันทำงานปกติ ก็อ้างว่าลูกค้าเร่งมาอีกที จนหลายครั้งก็อยากถามกลับเหมือนกันว่า “ถ้าเร่งทุกงานขนาดนี้ ทำไมไม่หาคนมาช่วยทำงานเพิ่มล่ะคุณพี่’

อยู่กันแบบครอบครัว = ฟรี

‘ที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัวจ้ะ’

ก่อนเข้ามาก็นึกว่าครอบครัวที่อบอุ่น พี่ดูแลน้อง น้องซัปพอร์ตพี่ คนทำงานรักกัน ทว่าทำงานผ่านไปได้ไม่นาน ก็เริ่มเห็นเค้าแล้วว่า ครอบครัวที่หมายถึง น่าจะเป็นครอบครัวจิระอนันต์ ส่วนพี่น้องรักกันก็คงเป็นกาสะลอง ซ้องปีบมากกว่า เพราะเดี๋ยวฝ่ายนู้นก็ตีกับฝ่ายนี้ เดี๋ยวน้องคนนี้ก็ไปทะเลาะกับพี่คนนั้น ส่วนคนกลางอย่างเรา ขอก้มหน้าก้มตาทำงานแบบญาติห่างๆ ไม่ข้องเกี่ยวอะไรมากมายกับครอบครัวที่นี่ก็แล้วกัน

นินทา = ฟรี

ตอนแรกกะจะลุกไปกดกาแฟ แต่พอพี่อีกคนลุกไปก่อนเท่านั้นแหละ อีก 2 คนข้างๆ ขยับเก้าอี้มาอย่างไว พร้อมถามเราว่า “รู้เรื่อง…ของพี่คนนั้นไหม”

ทุกวันนี้ที่ทำงานไม่ต่างอะไรกับศูนย์กระจายข้อมูล วันนี้รู้เรื่องคนนี้ วันถัดไปก็รู้เรื่องพี่อีกคน แถมแต่ละเรื่องดันเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น บางครั้งเราตั้งใจรีบทำงานให้เสร็จโดยไว แต่พอใครลุกออกจากโต๊ะ ที่เหลือก็รีบหันหน้าชนกันอย่างเร็ว จนทำเอาเรากังวลไม่น้อยว่า หากเราลุกไปบ้างจะตกเป็นหัวข้อบทสนทนาบ้างไหม ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ไม่ชวนให้น่าทำงานเท่าไหร่ เพราะเราต่างระแวงกันเองว่า เราจะเป็นคนถูกนินทาบ้างหรือเปล่านั่นเอง

สุขภาพจิตพัง = ฟรี

ท้ายสุดแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเจอ ล้วนเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีในการบ่อนทำลายสุขภาพจิตเราทีละเล็กทีละน้อย หรือหากต้องเจอปัญหาอย่างที่กล่าวไปข้างต้นพร้อมๆ กัน หรือต้องเจอทุกๆ วัน ก็ยิ่งกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง จนอาจทำให้มีผลต่อสุขภาพจิตของเรา กลายเป็นว่าแทนที่จะเอาเวลาว่างไปทำอย่างอื่น เราอาจต้องเสียเวลาไปกับการเยียวยาจิตใจตัวเองแทน

สุขภาพกายและใจที่ดีสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากตัวใคร?
Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editorial Staff: Taksaporn Koohakan