SCGD โชว์ฟอร์ม Q2/68 กำไร 222 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส

SCGD โชว์ฟอร์ม Q2/68 กำไร 222 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส

#ทันหุ้น #SCGD **สรุปประเด็นหลัก (Key Takeaways):**

*กำไรปกติเติบโตแข็งแกร่ง : SCGD มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 222 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจ 76 ล้านบาท กำไรปกติจะอยู่ที่ 283 ล้านบาท เติบโต 19% จากไตรมาสก่อนหน้า

*อัตรากำไรสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส : อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 28.3% และหากไม่รวมรายการพิเศษ EBITDA on sales อยู่ที่ 15.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2567

*ตลาดเวียดนามฟื้นตัวเด่นชัด : ปริมาณการขายวัสดุตกแต่งพื้นผิวในเวียดนามเติบโตขึ้น 21% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของผลประกอบการในไตรมาสนี้

*บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ : ต้นทุนพลังงานในการผลิตกระเบื้องลดลงเหลือ 29 บาทต่อตารางเมตร จากการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลเพิ่มขึ้น

*ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล : คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้นกำหนดจ่ายวันที่ 27 สิงหาคม 2568

**ภาพรวมผลประกอบการ Q2/2568 : กำไรปกติเติบโตท่ามกลางแรงกดดัน**

SCGD รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 ด้วยรายได้ 5,770 ล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น 222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% QoQ , -22% YoY

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวได้รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (Non-Recurring) จากการปรับโครงสร้างธุรกิจจำนวน 76 ล้านบาท หากตัดรายการนี้ออกไป

กำไรปกติจะอยู่ที่ 283 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

** นอกจากนี้ ผลประกอบการยังได้รับผลกระทบจากการแปลงค่าเงินสกุลต่างประเทศ (โดยเฉพาะดองเวียดนาม) มาเป็นเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นซึ่งหากพิจารณาผลประกอบการที่แท้จริงในสกุลเงินท้องถิ่นโดยไม่รวมผลกระทบจากค่าเงินและรายการพิเศษ กำไรสุทธิจะเติบโตถึง 6% YoY

**เวียดนามฟื้นตัวแกร่ง-กลยุทธ์ลดต้นทุนเกิดผล**

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรของ SCGD ในไตรมาสนี้คือ การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดเวียดนาม โดยปริมาณการขายวัสดุตกแต่งพื้นผิวในเวียดนามเพิ่มขึ้นถึง 21% จากไตรมาสก่อนหน้า สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัว ทำให้บริษัทวางเป้าหมายให้เวียดนามเป็นฐานการส่งออกที่สำคัญและมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนอีก 5 ล้านตารางเมตรในปี 2568

ขณะเดียวกันกลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุน ได้แสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยต้นทุนพลังงานในการผลิตกระเบื้องลดลงจาก 32 บาท เหลือเพียง 29 บาทต่อตารางเมตร]ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลช่วยประหยัดต้นทุนรวม 36 ล้านบาทต่อปีควบคู่ไปกับการลดต้นทุนวัตถุดิบจากการเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่คาดว่าจะช่วยประหยัดได้ถึง 30 ล้านบาทต่อปี

**ตลาดในประเทศยังอ่อนตัว-เดินหน้าเพิ่มพอร์ตสินค้ามูลค่าสูง**

แม้ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนามจะมีทิศทางที่ดี แต่ตลาดยังคงอ่อนตัวจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว โดยตลาดกระเบื้องในไทยไตรมาส 2 หดตัวลง 9% YoY และ 11% QoQ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทได้ใช้กลยุทธ์เพิ่มการนำเข้ากลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูง (High-Growth) และสินค้าเกี่ยวเนื่อง (Complementary) เช่น ปูนกาว ยาแนว

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการเติบโตในกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ซึ่งมีอัตรากำไรสูงกว่าสินค้าทั่วไป 5-10% โดยในครึ่งปีแรกสัดส่วนยอดขายสินค้า HVA เพิ่มขึ้นเป็น 37%

**ประกาศจ่ายปันผลและแนวโน้มที่สดใส**

จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 439 ล้านบาท -19% YoY และรายได้รวม 11,948 ล้านบาท -12% YoY ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 247.5 ล้านบาท

โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 บริษัทมองแนวโน้มครึ่งปีหลังว่ามีความสดใส โดยคาดว่าตลาดเวียดนามจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และตลาดอินโดนีเซียจะได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น