ประโยชน์ “น้ำผลไม้สกัดเย็น” ต่างจากน้ำผลไม้อื่นอย่างไร?
การสกัดเย็น (cold pressed) น้ำผลไม้ยอดฮิต ที่เป็นกระแสสุขภาพไม่มีตก โดยการสกัดเย็น คือการแยกส่วนของน้ำออกมาจากส่วนต่างๆ ด้วยการบีบอัดที่อุณหภูมิปกติ พืชที่นำมาสกัดเย็นจะต้องไม่ผ่านความร้อนหรือสารเคมีมาก่อนแล้วตั้งทิ้งไว้จนตกตะกอน จากนั้นจึงกรองเอาเฉพาะส่วนของน้ำมันที่บริสุทธิ์มาใช้ กรณีที่เป็นการสกัดน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันที่ได้จะใส สะอาด ไม่มีกลิ่นหืน และยังคงสภาพวิตามินต่าง ๆ ตามธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน
10 ผักผลไม้แหล่งวิตามินซีชั้นดี ช่วยต้านหวัด เสริมภูมิคุ้มกัน
3 แหล่งอาหารป้องกัน “เบื่ออาหารในผู้สูงอายุ” มังสวิรัติ เลือกกินอย่างไร?
หากเป็นการสกัดเย็นจากผลไม้ ก็จะเป็นน้ำผลไม้ที่ได้คุณค่าสารอาหารครบถ้วนเช่นกัน โดยที่สี และรสชาติของน้ำผลไม้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
การสกัดเย็นมีความแตกต่างจากน้ำผลไม้อื่นอย่างไร
น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพที่มาจากการใช้เครื่องปั่นที่หาซื้อได้ง่าย จะได้รับความร้อนจากเครื่องปั่นช่วงที่ทำงาน ทำให้เอนไซม์และวิตามินในผลไม้ถูกทำลายไป สูตรน้ำผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพใดๆ ก็ไม่อาจต้านทานความร้อนของเครื่องปั่นได้ ขณะที่น้ำผลไม้กล่องก็ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์ (การต้ม) จนสูญเสียเอนไซม์ วิตามิน สี และรสชาติไป
ผู้ผลิตส่วนใหญ่ก็จะเติมสี กลิ่นสังเคราะห์ และน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวาน ซึ่งล้วนเป็นผลเสียต่อร่างกาย ยิ่งน้ำผลไม้บรรจุกล่องไม่ต้องพูดถึงน้ำผลไม้กล่องที่แทบไม่เหลืออะไรเพราะต้องผ่านความร้อนก่อนบรรจุกล่อง คือจะดื่มก็ได้แต่คุณค่าทางโภชนาการไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ต่างจากน้ำผลไม้สกัดเย็นที่มีขั้นตอนการผลิตที่เรียกว่า Cold Pressing คือใช้แรงบีบอัดสูงโดยไม่ผ่านความร้อนเลย วิธีนี้เป็นการรีดเอาสารอาหาร รวมถึงวิตามิน เอนไซม์ และพฤกษาเคมีออกมาได้หมดจดมาก สรุปคือคุณค่าทางอาหารสูงกว่า ธรรมชาติกว่า และอร่อยกว่า ราคาก็แพงกว่าเช่นกัน
ถึงแม้น้ำผลไม้สกัดเย็น จะคงคุณค่าและประโยชน์ต่างๆไว้มากมาย แต่เพื่อให้ร่างกายได้รับกากใยจากผักและผลไม้เพื่อให้ระบบทางเดินอาหารของเราทำงานได้ดี ดังนี้เราควรบริโภคอย่างพอเหมาะพอดี และหันมาบริโภคผักผลไม้สดเพิ่มเติมจะดีที่สุด ซึ่งการดื่มน้ำเปล่ายังคงเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ดีที่สุด เพราะอย่าลืมว่าผลไม้สดเมื่อนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ไม่ว่าด้วยกระบวนการใด ย่อมมีน้ำตาลธรรมชาติเจือปนอยู่แล้ว น้ำตาลก็คือน้ำตาล ต่อให้เป็นน้ำตาลธรรมชาติก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี