สภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายควบคุม Stablecoin ส่งให้ทรัมป์ลงนาม ดันคริปโตฯสู่กรอบกฎหมายแห่งชาติ
สภาผู้แทนสหรัฐฯ ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายควบคุม Stablecoin และโครงสร้างตลาดคริปโต พร้อมร่างห้ามออกเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง โดยได้รับเสียงสนับสนุนข้ามพรรค ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล
วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 เวลา 04.40 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งกรอบกำกับดูแลสำหรับเหรียญคริปโทเคอเรนซี ที่ตรึงค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือที่เรียกว่า Stablecoin เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ร่างกฎหมายได้ถูกส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
การลงมติดังกล่าวถือเป็นหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งผลักดันให้มีกฎหมายระดับชาติอย่างต่อเนื่องมาหลายปี และลงทุนอย่างมากในการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วเพื่อสนับสนุนผู้สมัครที่สนับสนุนคริปโตฯ
นอกจากนี้สภาผู้แทนฯ ยังได้ผ่านร่างกฎหมายอีก 2 ฉบับเกี่ยวกับคริปโตฯ โดยร่างแรกจัดตั้งกรอบโครงสร้างการกำกับดูแลตลาดคริปโต (Clarity Act) และอีกร่างหนึ่งห้ามรัฐบาลกลางออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) โดยร่างทั้งสองจะถูกส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป
โดยร่างกฎหมาย Stablecoinที่มีชื่อว่า Genius Act และร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดคริปโตฯ Clarity Act ได้รับเสียงสนับสนุนข้ามพรรค โดยร่าง Genius Act ได้รับการอนุมัติด้วยคะแนนเสียง 308 ต่อ 122
ซึ่ง Stablecoin คือคริปโตเฯ ประเภทหนึ่งที่ออกแบบให้รักษามูลค่าให้คงที่ โดยมักจะตรึงค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 และถูกใช้แพร่หลายในการซื้อขายโทเคนต่าง ๆ ในตลาดคริปโต ซึ่งมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนเชื่อว่าสามารถใช้ในการชำระเงินแบบทันทีได้
หากร่าง Genius Act ได้รับการลงนามเป็นกฎหมาย จะกำหนดให้ Stablecoin ต้องมีสินทรัพย์สภาพคล่องรองรับ เช่น เงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น และผู้ผู้ออกเหรียญต้องเปิดเผยโครงสร้างสินทรัพย์สำรองต่อสาธารณะทุกเดือน
Summer Mersinger ซีอีโอของสมาคมบล็อกเชน และอดีตเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับการซื้อขายล่วงหน้า (CFTC) กล่าวว่าการลงมติครั้งนี้คือ "ช่วงเวลาแห่งการกำหนดทิศทางนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐ"
ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมคริปโตฯ เรียกร้องให้มีกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจน โดยเชื่อว่าการมีกฎหมายรองรับจะช่วยให้ Stablecoinและเหรียญอื่น ๆ ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น อุตสาหกรรมนี้ใช้เงินกว่า 119 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนผู้สมัครฝ่ายสนับสนุนคริปโตฯ ในการเลือกตั้งรัฐสภาปีที่แล้ว และพยายามทำให้ประเด็นนี้เป็นเรื่องข้ามพรรค
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้วสภาผู้แทนฯ เคยผ่านร่างกฎหมาย Stablecoinฉบับหนึ่งมาแล้ว แต่ถูกวุฒิสภาที่ขณะนั้นมีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากเพิกเฉย
ทรัมป์พยายามปฏิรูประบบนโยบายคริปโตฯ ของสหรัฐอย่างกว้างขวาง หลังรับเงินสนับสนุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมคริปโตฯ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งนี้ท่ามกลางความตึงเครียดในรัฐสภาเกี่ยวกับโครงการคริปโตฯ ส่วนตัวของทรัมป์และครอบครัว ซึ่งเคยเกือบทำให้กฎหมายเหล่านี้ล่มกลางทาง เนื่องจากสมาชิกพรรคเดโมแครตแสดงความไม่พอใจที่ทรัมป์และครอบครัวผลักดันโปรเจกต์คริปโตฯ ส่วนตัว
ทรัมป์มีโครงการคริปโตฯ ส่วนตัวหลายรายการ รวมถึงเหรียญมีมชื่อ $TRUMP ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม และบริษัท World Liberty Financial ซึ่งเป็นบริษัทคริปโตฯ ที่เขาถือหุ้นบางส่วน
ทำเนียบขาวชี้แจงว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในกรณีนี้ เนื่องจากทรัพย์สินของทรัมป์อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบุตรหลานในรูปแบบทรัสต์
ทั้งนี้ร่าง Clarity Act ผ่านสภาผู้แทนฯ ด้วยคะแนน 294 ต่อ 134 มีเป้าหมายเพื่อกำหนดอย่างชัดเจนว่าโทเคนคริปโตฯ ใดเป็นหลักทรัพย์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ และกำหนดขอบเขตอำนาจของสำนักงาน ก.ล.ต. (SEC) ต่ออุตสาหกรรมนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นประเด็นที่ภาคเอกชนคริปโตฯ โต้แย้งอย่างหนักในยุคไบเดน
บริษัทคริปโตฯ ส่วนใหญ่โต้แย้งว่า โทเคนส่วนมากควรถูกจัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) มากกว่าหลักทรัพย์ (securities) ซึ่งจะช่วยให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ สามารถให้บริการเหรียญเหล่านี้แก่ลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบหลักทรัพย์ที่ซับซ้อน
อย่างไรก็ตามร่างนี้ยังต้องผ่านวุฒิสภาก่อนที่จะส่งให้ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนาม และสมาชิกพรรคเดโมแครตบางคนคัดค้านร่างนี้อย่างรุนแรง โดยให้เหตุผลว่าอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจคริปโตฯ ของทรัมป์ผ่านการกำกับดูแลที่เบาบาง
ทั้งนี้สภาผู้แทนฯ ยังได้ผ่านร่างกฎหมายที่ห้ามธนาคารกลางสหรัฐออกสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) โดยฝ่ายรีพับลิกันให้เหตุผลว่าอาจเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน ซึ่งประเด็นนี้เป็นหนึ่งในข้อถกเถียงหลักในการประชุมของสภาตลอดสัปดาห์
อ้างอิง : www.reuters.com