Business Today Thai Politics 21 กรกฎาคม 2568
‘ภูมิธรรม’ เตรียมเด้ง ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ แจงเขากระโดงไม่เคลียร์
21 ก.ค.ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าสอบที่ดินเขากระโดง ที่ครบกำหนด 7 วัน ในวันนี้ ว่า
วันนี้เป็นวันที่อธิบดีกรมที่ดินจะส่งรายละเอียดมา ถ้าเหตุการณ์ยังไม่ชัดเจน ยังไม่สามารถเคลียร์พื้นที่ที่รับผิดชอบได้
โดยการดำเนินการเรื่องนี้ตนเองจะตั้งกรรมการชุดหนึ่งเข้าไปดูแลจัดการ และดูว่าเรื่องนี้ถ้าถึงขั้นที่ต้องย้ายอธิบดีกรมที่ดิน ก็จะย้าย แต่ขอดูรายงานก่อน
กกต.ฟันดาบ 2 ‘หมอเกศ’ ใช้คำนำหน้า ‘ศาสตราจารย์’ สมัคร สว.
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2568 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับมติคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะที่เป็นผู้ร้อง คดีให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือ “หมอเกศ” สว. กรณีวุฒิการศึกษา เข้าข่ายเป็นการหลอกลวงในการลงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็น สว. หนังสือลงวันที่ 18 ก.ค. 2568
โดย กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ น.ส.เกศกมล ในความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและคดีอาญา กรณีใช้คำว่า “ศาสตราจารย์” ซึ่งจะมีอัตราโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี และตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี
“ผมขอประกาศตรงนี้ มันหมดเวลาของเธอแล้ว คำวินิจฉัยส่งถึงผมเรียบร้อยในฐานะเป็นคนร้อง แต่เดิมทำเป็นจะเอาเรื่องของวุฒิการศึกษาปริญญาเอก แต่ผมมาคัดค้าน ท้ายที่สุดก็ยอมใส่คำว่าศาสตราจารย์ไป ไม่เหลือแล้ว” นายภัทรพงศ์ กล่าว
นายภัทรพงศ์ เรียกร้อง กกต.ให้ส่งเรื่องของ น.ส.เกศกมล ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งภายในวันที่ 25 ก.ค.นี้ เนื่องจากไม่มีเหตุให้ดึงเรื่อง เพราะได้ส่งคำวินิจฉัยไปให้ตน และได้รับเอกสารเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ดังนั้นจึงหวังว่าคดีดังกล่าวจะส่งเรื่องไปให้ศาลพิจารณาต่อในวันศุกร์นี้
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการพิจารณาและมีมติให้ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา ตามมาตรา 62 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 เพื่อวินิจฉัยสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือ “หมอเกศ” สว. กรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำการหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถหรือชื่อเสียงเกียรติคุณตามมาตรา 77 (4) ของกฎหมายเดียวกัน
จากเหตุแจ้งว่ามีคุณสมบัติ ด็อกเตอร์ จาก California University ในการยื่นสมัคร สว. ตามที่ สำนักงาน กกต.โดยคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ได้เสนอรายงานผลการตรวจสอบพร้อมความเห็นว่า การจะใช้คำนำหน้าด็อกเตอร์ จะต้องเป็นการไปเรียนจริง และเรียนจบได้วุฒิบัตรมาแล้ว อีกทั้ง california university เป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้วิธีให้ส่งรายงาน และการเทียบโอนเกรด ซึ่งยังไม่ได้มีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทย
ศบ.ทก. เตรียมสรุปขั้นตอนดำเนินการฟ้องร้องกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่
พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. เปิดเผยก่อนเป็นประธานการประชุม ศบ.ทก. ชุดใหญ่ ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ
ว่ามีความเข้าใจการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน แต่อยากให้เข้าใจการทำหน้าที่ของภาครัฐต้องทำงานตามขั้นตอน จะพูดสิ่งใดไปก่อนตามความคิดและความเชื่อ แต่มีเหตุผลที่เป็นความจริงในภายหลังแล้วทุกคนจะไม่เชื่อคำพูดของตนเอง ดังนั้นขอให้เห็นใจการทำหน้าที่ของภาครัฐ ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ระเบิดขึ้น ได้มีการติดตามโซเซียลมาโดยตลอด และถูกสื่อมวลชน นักวิชาการ กล่าวหาว่าทำงานล่าช้า
ไม่ทันใจเท่าสมเด็จฮุนเซน และนายฮุนมาเน็ต ซึ่งทั้งสองโพสต์ทางโซเซียล และสามารถลบโพสได้ แต่ไทยทำไม่ได้ เพราะหากทำเช่นนั้นก็จะศีลเสมอกัน ดังนั้น ตนเองพยายามจะสร้างมาตรฐานระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ว่า การจะพูดสิ่งใดต้องให้ถูกต้องมากที่สุด
ส่วนความคืบหน้าเหตุการณ์ระเบิดที่บริเวณช่องบก ยืนยันว่าได้ติดตามสถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารี ได้เข้าสำรวจพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าระเบิดเป็นชนิดใหม่ แม้หลายคนจะทราบว่าเป็นพื้นที่ที่ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้ว ฝ่ายไทยจะต้องตรวจสอบว่าจะพบเจอในจุดอื่นอีกหรือไม่ จุดที่วางประเทศไทยมีใช้ระเบิดชนิดนี้หรือไม่ หรือมีใช้เฉพาะกัมพูชา
จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เวลา 3 วันในการตรวจสอบ สามารถตอบสังคมได้ และสามารถตรวจสอบเพิ่มว่ามีการวางอีก 2จุด รวม 8 ทุ่น ดังนั้นเมื่อทราบว่ามีจุดอื่นๆ ที่วางเพิ่มเติม และทราบชนิดทุ่นระเบิดแล้วว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN 2 ประเทศรัสเซีย ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีใช้ ดังนั้นเป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นของประเทศอื่น นอกจากนี้ ยังพบว่าจุดที่วางเอาเศษวัชพืชมาปกคลุม ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นของใหม่ และทุ่นระเบิดที่วางส่วนที่เป็นโลหะไม่มีสนิม
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังทำการตรวจค้นจุดอื่นๆ เพิ่มเติมอีก หลังจากนี้ การประชุม ศบ.ทก. จะมารับทราบรายงานทั้งหมดว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ย้ำว่าตลอด 5 วันที่ผ่านมาในการตรวจสอบ ถือว่ามีความรวดเร็วแล้ว และการประชุมคณะกรรการออตตาวา จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้ ดังนั้น การดำเนินการจะส่งฟ้องไปยังคณะกรรมการออตตาวา จะต้องรอในช่วงที่มีการประชุม
ดังนั้นระหว่างนี้ไทยจะต้องทำสำนวนให้รอบคอบ เพื่อให้ศาลได้พิจารณาหลักฐานและรับฟ้องได้อย่างชัดเจน ส่วนตัวจึงอยากขอให้เข้าใจการทำหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐว่าเหตุใดจึงล่าช้า เพราะต้องทำงานตามขั้นตอน หากทำพลาดแล้วประชาชนอาจจะตำหนิตนเองได้ แม้ตนเองจะทำใจกับการถูกตำหนิแล้ว แต่สงสารทีมงาน ย้ำว่า ศบ.ทก.ดูแลในเรื่องสวัสดิการทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และไม่ได้ละเลยที่จะดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ภาคใต้ด้วย
ส่วนจะมีการเพิ่มมาตรการตอบโต้กัมพูชาหรือไม่ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ศบ.ทก.จะดำเนินการตกลงว่าจะเพิ่มหรือไม่ และรายงานไปยังรัฐบาล ซึ่งหลังจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ จะยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการออตตาวาต่อไป ส่วนคณะกรรมการออตตาวาจะมีบทลงโทษอย่างไรกับกัมพูชานั้น พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ในบทลงโทษยังไม่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการออตตาวา แต่กัมพูชาผิดอยู่ 2 เรื่องอย่างแน่นอน คือ วางทุ่นระเบิดใหม่
ซึ่งสมาชิกที่อยู่ในออตตาวาต้องไม่ทำเช่นนี้ และกัมพูชายังมีทุ่นระเบิดใหม่อยู่ในครอบครอง เนื่องจากสมาชิกออตตาวาต้องทำลายทุ่นระเบิดตามข้อตกลง ขณะที่ทำลายไม่หมด แต่นำมาใช้ก็ถือว่าผิด ซึ่งทางการไทยจะประท้วงไปยังกัมพูชาด้วย พร้อมยื่นสำนวนไปยังคณะกรรมการออตตาวา รวมถึงส่งข้อมูลไปยังประเทศที่ให้เงินสนับสนุนกับกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อให้พิจารณาในเรื่องนี้
รัฐบาลยืนยันประมูลงานรัฐ โปร่งใสกรมบัญชีกลางชี้แจงแล้ว
ทำเนียบ วันนี้ (21 ก.ค.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกรมบัญชีกลางยืนยันกรณีมีการเผยแพร่ข่าว “การจัดซื้อจัดจ้างงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ว่ามีบางโครงการมีการยื่นประมูลรายเดียวรับงานได้เลย” นั้น ไม่เป็นความจริง เป็นการนำเสนอข้อมูลไม่ครบถ้วน
ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้รายงานว่า การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ หรือเงินนอกงบประมาณ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยงานของรัฐ และสอดคล้องกับหลักการคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตรวจสอบได้ตามนัยมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยทุกหน่วยงานภาครัฐ ต้องยึดมั่นทุกระเบียบ ที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างตามกรอบงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์สุดสุดในช่วงนี้
“สมชัย” อัด กกต.ล่าช้า คำวินิจฉัยคดี “หมอเกศ”
กทม. วันนี้ (21 ก.ค.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร นักวิชาการและอดีต กกต. กล่าวถึงคำวินิจฉัยของ กกต. ในคดีตรวจสอบคุณสมบัติของ นางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. กรณีวุฒิการศึกษา เข้าข่ายเป็นการหลอกลวงในการลงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ว่า กกต. มีคำวินิจฉัยตั้งแต่ 30 เมษายน 2568 ให้เพิกถอนการเป็น สว.
โดยต้องส่งมติคำวินิจฉัยไปให้ศาลฎีกา เพื่อวินิจฉัยในขั้นต่อไป เนื่องจากเป็นการให้ใบแดงหลังการประกาศผล ระยะเวลากว่าที่ กกต.จะจัดทำเอกสารคำวินิจฉัยหลังจากการมีมติ ใช้เวลาเกือบ 3 เดือน ซึ่งถือว่าล่าช้ามาก และถึงวันนี้ยังไม่ได้ส่งถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลจะต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งก่อนจะมีคำวินิจฉัยว่าเห็นชอบกับ กกต.หรือไม่
นายสมชัย กล่าวว่าความล่าช้าดังกล่าว สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพการทำงานของ กกต. ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการทางนิติบัญญัติ เนื่องจากตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำวินิจฉัย สว.ดังกล่าวยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ในวุฒิสภาได้ตามกฎหมาย ความล่าช้ายังส่งผลเสียต่อตัว สว. ที่ถูกวินิจฉัยด้วย คือ วันใดข้างหน้าที่ศาลมีคำวินิจฉัยว่า สว. ดังกล่าวมีความผิด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทุกอย่าง เช่น เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเดือนผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ผู้ช่วย สว. ทุกคน และค่าใช้จ่ายทุกอย่างนับแต่วันแรกของการเป็น สว. ต่อทางราชการ
ส่วนการดำเนินคดีอาญานั้น เป็นไปตาม กฎหมายที่ กกต.ต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญาหากศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผิด ซึ่งอัยการอาจฟ้องหรือไม่ฟ้อง ก็ได้ ยังเป็นเรื่องในอนาคต