แบงค์-พุฒิพงศ์ : ความชอบ 'สวนสนุก' สู่ "ดรีมเวิลด์" ที่โตแบบเป็นตัวเอง
เรื่อง : พฤฒินันท์ สุดประเสริฐ ภาพ : ชัญญา พรรณศรี / เบญญาภา ปาประโคน
สวนสนุก หนึ่งในพื้นที่พักผ่อนที่สร้างความสุข ความสนุก และเป็นพื้นที่ที่แต่ละครอบครัว รวมถึงแก๊งเพื่อน สามารถมาใช้เวลาร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเครื่องเล่นด้วยตัวเอง หรือมานั่งดูครอบครัว ดูแก๊งเพื่อนสนุกกับเครื่องเล่นต่าง ๆ
และหนึ่งในธุรกิจสวนสนุกที่เป็นขวัญใจ และ Top of Mind ของหลายคน จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก “ดรีมเวิลด์ (Dream World)” ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของตระกูล ‘กิติพราภรณ์’ ที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจบันเทิงมายาวนานหลายสิบปี โดยเฉพาะ “แดนเนรมิต” สวนสนุกระดับตำนานแห่งย่านลาดพร้าว
“ดรีมเวิลด์” ในวันนี้ อยู่ภายใต้การบริหารของ “แบงค์-พุฒิพงศ์ กิติพราภรณ์” หลานชายของ “พัณณิน กิติพราภรณ์” ซึ่งเข้ามาทำงานกว่า 10 ปี จนกระทั่งเข้ามารับช่วงต่อในการบริหารเอง เขายังคงเรียนรู้การทำสวนสนุกแห่งนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และมุ่งมั่นที่จะทำให้สวนสนุกแห่งนี้โตต่อไปแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ไหลไปกับกระแส
“ประชาชาติธุรกิจ” พูดคุยกับ “แบงค์-พุฒิพงศ์” เพื่อเรียนรู้มุมมองการทำสวนสนุก และคุยถึงบทเรียนที่ได้เรียนรู้ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
ความชำนาญ “ธุรกิจบันเทิง”
หากย้อนกลับไปในอดีต ครอบครัว “กิติพราภรณ์” ผ่านการสร้างธุรกิจบันเทิงมามากมาย ตั้งแต่โรงภาพยนตร์ พาราเม้าท์-ฮอลลีวู้ด-โคลีเซียม ยุคที่โรงหนังสแตนด์อะโลน ยังมีมากมาย มาจนถึงการสร้างสวนสนุกในตำนาน “แดนเนรมิต” และสวนสนุกแห่งล่าสุดอย่าง “ดรีมเวิลด์”
พุฒิพงศ์ เล่าที่มาของการจับธุรกิจบันเทิงของตระกูลว่า เริ่มต้นมาจาการที่อาก๋งของเขา ทำโรงหนังมาก่อน แล้วได้มีโอกาสเดินทางไปซื้อภาพยนตร์ที่ต่างประเทศ ทำให้มีโอกาสได้เห็นธุรกิจที่น่าสนใจในต่างประเทศ ประกอบกับประเทศไทย ยังไม่มีสวนสนุก จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นหลักของ “แดนเนรมิต” ที่เปิดให้บริการวันแรก เมื่อ 29 มกราคม 2518
แต่ด้วยความที่ “แดนเนรมิต” สร้างขึ้นบนพื้นที่เช่า และพื้นที่เดิมค่อนข้างแคบสำหรับการพัฒนาสวนสนุก ทำให้มีการสร้าง “ดรีมเวิลด์” ขึ้นบนพื้นที่ของตัวเอง เพื่อพัฒนาสวนสนุกกลางแจ้งได้เต็มที่ขึ้น และเปิดให้บริการครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536
ก่อนที่อีก 7 ปีต่อมา วันที่ 28 พฤษภาคม 2543 แดนเนรมิต จะเปิดให้บริการเป็นวันสุดท้าย เนื่องจากหมดสัญญาเช่าพื้นที่ ปิดตำนาน 25 ปี สวนสนุกที่อยู่ในเมืองกรุง
นอกจากสวนสนุก “ดรีมเวิลด์” ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจ คือ “สยามนิรมิต” ศูนย์รวมวัฒนธรรมไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากความคิดที่ว่า ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมาก และด้วยความที่อยู่ในธุรกิจบันเทิง จึงเกิดไอเดียว่า “ทำไมเราไม่ทำโชว์ดี ๆ ที่นำเสนอวัฒนธรรมไทยล่ะ ?” แบบสนุก น่าติดตาม กลายเป็นที่มาของ สยามนิรมิต
เดิม สยามนิรมิต มีในกรุงเทพฯด้วย แต่ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ของครอบครัวเองด้วยเช่นกัน
กติกาทำงาน “ธุรกิจครอบครัว”
วันแรกที่ พุฒิพงศ์ เข้ามาทำงานที่ดรีมเวิลด์ เขาเลือกที่จะวางกติกากับคุณป้าของเขาไว้ ดังนี้
1. ไม่มีอภิสิทธิ์เหนือใคร – เขาไม่ได้เข้ามาทำงานดรีมเวิลด์ ในฐานะ “เจ้าของ” แต่เข้ามาทำงานในฐานะ “คนทำงานคนหนึ่ง” ที่ยังต้องเรียนรู้งานอีกมากมาย
2. ธุรกิจครอบครัว กับความสัมพันธ์ในการทำงาน – ในธุรกิจครอบครัว มีทั้งความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และความสัมพันธ์ทางครอบครัว จึงตกลงว่า จะพยายามเรียนรู้การทำงานอย่างเต็มที่ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง มีเหตุที่ทำให้กระทบความสัมพันธ์ของครอบครัว ก็ไม่ได้ เพราะ “เลิกทำงานได้ แต่ความเป็นครอบครัว เลิกไม่ได้”
3. พนักงานทุกคนคือผู้มีพระคุณ – พุฒิพงศ์ เล่าว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คุณป้าของเขาย้ำอยู่เสมอ ดังนั้น หน้าที่ของเขาคือต้องตอบแทนพนักงาน เราไม่ได้มาเป็นเจ้านาย แต่เรามาเรียนรู้ มาร่วมทำงานกับทีมที่อยู่กันมานาน
ขณะที่การเข้ามารับช่วงต่อบริหาร พุฒิพงศ์ มองว่า มีปัญหาไม่มากนัก เพราะก่อนหน้าที่จะเข้ามา ดรีมเวิลด์ ถือว่ามีความมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว คุณป้าก็มีประสบการณ์ และวางระบบไว้ค่อนข้างดีแล้ว
การเริ่มต้นเข้ามาทำงานของพุฒิพงศ์ จึงเป็นเรื่องของการปรับตัว อีกทั้งยังวางความคิดว่า เข้ามาแล้วอยากเรียนรู้ ยังไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการทำสวนสนุก และยินดีที่จะเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งระบบ ระเบียบ กติกา จากพนักงานทุกคนที่มีประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนาน
“โควิด-19” ที่ไม่ยอมแพ้ สู่เป้าหมายกลับไปใกล้ปี’62
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่กระทบต่อหลายภาคธุรกิจ เช่นเดียวกับ “ดรีมเวิลด์” ที่ต้องปิดให้บริการตามคำสั่งของภาครัฐ รวม 13 เดือน
พุฒิพงศ์ เล่าว่า ด้วยความที่ยังมีเป้าหมายว่าจะกลับมาเปิดให้บริการให้ได้ ทำให้ยังแบกรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ค่าดูแลพนักงาน ค่าดูแลสถานที่ แม้จะไม่มีรายได้เข้ามาเลย
พุฒิพงศ์ ยังแชร์ 2 หลักคิดในการเดินหน้าธุรกิจ เพื่อฝ่าวิกฤตนี้
1. เราต้องเชื่อก่อนว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันมีคุณค่า ทั้งต่อตัวเราและต่อลูกค้า เพราะฉะนั้น เรายังตั้งใจจะเดินหน้าต่อ เมื่อวันที่ภาครัฐให้เปิด เราก็พร้อมเปิดทันที
2. เราให้ความสำคัญกับ “คน” มาก พนักงานคือผู้มีพระคุณ พวกเขาอยู่กับเรามานาน เราจึงต้องดูแลให้ดีที่สุด ช่วงที่ปิดก็ช่วยกันประคองไปตามสภาพ
ขณะที่ภาพสถานการณ์วันนี้ ย้อนกลับไป 4 เดือนแรกของปี 2568 มีผู้ใช้บริการรวมกว่า 5 แสนคน ซึ่งอาจเป็นเพราะมีวันหยุดเยอะ อากาศดี เทศกาลเยอะด้วย คาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง
ส่วนเป้าหมายในปีนี้ พุฒิพงศ์ ตั้งใจว่าจะให้ตัวเลขผู้ใช้บริการ อยู่ที่ 1.2-1.3 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ก่อนโควิด-19 ช่วงปี 2562
ความชอบ-งาน เป็นสิ่งเดียวกัน
เชื่อว่าใครหลาย ๆ คน มีความชอบที่แตกต่างกันในแต่ละคน และน้อยคนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองชอบ เช่นเดียวกับ แบงค์-พุฒิพงศ์ ที่มีความชอบ หลงใหลในเรื่องของสวนสนุก เครื่องเล่นต่าง ๆ และได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองชอบ ซึ่งพุฒิพงศ์ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการทำงานเท่าไรนัก
ในขณะเดียวกัน เขายังมีสิ่งที่ต้องทำ ทั้งการเรียนรู้งานต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาภาระการงานของครอบครัวให้ได้มากที่สุด การรับผิดชอบลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความบันเทิง
และสิ่งที่สำคัญ คือ การรับผิดชอบพนักงาน เพราะถ้าเราดูแลพนักงานดี พนักงานก็จะดูแลลูกค้าได้ดีเช่นกัน
สำหรับมุมของความยากและความท้าทายในการทำสวนสนุกนั้น พุฒิพงศ์ มองว่าน่าจะยากกว่าธุรกิจอื่น ๆ เพราะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ มีสาขาอาชีพที่หลากหลายมาก เปรียบเสมือน “มหาวิทยาลัย” ที่มีหลากหลายคณะ หลากหลายวิชา และต้องใช้ความสามารถของทุกคณะผสมผสานกัน แล้วต้องทำงานกันอย่างราบรื่น ประสานงานกันได้ดี
อีกหนึ่งในความยาก คือ การเลือกเครื่องเล่นเข้ามาไว้ในสวนสนุก เพราะแม้สวนสนุกกลางแจ้ง จะไม่มีข้อจำกัดเรื่องรูปแบบหรือความสูงของเครื่องเล่น แต่เครื่องเล่นแบบไหนที่จะถูกใจผู้ใช้บริการ ซึ่งก็ต้องใช้การเดาล้วน ๆ ถ้าเดาถูก ก็ดีไป แต่ถ้าเดาไม่ถูก ซื้อเครื่องเล่นแล้วลูกค้าไม่ชอบ ก็อาจไม่คุ้ม เพราะราคาเครื่องเล่นหนึ่งตัว มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50-100 ล้านบาท ถ้าต้องขายต่อ มูลค่าจะเหลือไม่เยอะ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครกล้าลงทุนในการทำสวนสนุก
พุฒิพงศ์ เล่าต่อไปว่า หลักการเลือกเครื่องเล่นที่จะให้บริการในสวนสนุกนั้น มีคำถามที่ต้องตอบให้ได้ คือ
1. เราอยากได้เครื่องเล่นให้กับใคร ? – จะเป็นเครื่องเล่นครอบครัว เครื่องเล่นวัยรุ่น หรือเป็นจุด Attraction สำหรับคนกลุ่มไหน
2. ต้องเดาว่า ลูกค้ากลุ่มนั้นชอบอะไร ? – หลักนี้ต้องอาศัยการสังเกตพฤติกรรมและความชอบของแต่ละกลุ่มลูกค้า เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
ส่วนที่เหลือ ก็ต้องอาศัย Gut feeling หรือเซนส์ ความรู้สึกต่อเครื่องเล่นนั้น ๆ ว่าตอบโจทย์
ขณะเดียวกัน ยังมีวิธีในการลดความเสี่ยง คือ การทดลองเล่นเครื่องเล่นจริง โดยถ้าสนใจเครื่องเล่นใหม่ หรือมีเครื่องเล่นไหนน่าสนใจ ก็จะเก็บข้อมูลว่า มีอยู่ที่สวนสนุกไหน แล้วพาทีมไปทดลองเล่นจริง เพื่อพิสูจน์ว่าจะสนุกเหมือนที่เห็นในคลิปวิดีโอหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุนซื้อเครื่องเล่น
หัวใจของการทำ “สวนสนุก”
พุฒิพงศ์ แชร์มุมมองว่า หัวใจของการทำสวนสนุก มีอยู่ 3 ข้อหลัก
1. เครื่องเล่น
พุฒิพงศ์ มองว่าการเลือกเครื่องเล่น จะเลือกเครื่องเล่นที่มีความคลาสสิก เพราะหากเลือกตามกระแส เมื่อวันหนึ่ง “อินเทรนด์” สุดท้ายก็ต้อง “เอาต์เทรนด์” มาไวแล้วไปไว หากเลือกสิ่งที่คลาสสิก เช่น รถไฟเหาะ ที่แม้จะมีการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ห้อยขา หรือวิ่งถอยหลัง แต่ก็ยังเป็นเครื่องเล่นที่อยู่ได้นานและดึงดูดคนได้เสมอ
2. ทุกคนต้องได้ความบันเทิง
ใครก็ตามที่เข้ามาในสวนสนุก ไม่ว่าจะมาเล่นหรือไม่เล่นเครื่องเล่น ต้องได้รับความบันเทิงกลับไป เช่น การเดินเล่น การดูโชว์ หรือการถ่ายรูป ดังนั้นพื้นที่และกิจกรรมต้องรองรับกลุ่มหลากหลาย ไม่จำกัดแค่เด็กหรือวัยรุ่น
3. ต้องมอบประสบการณ์ “ที่หาไม่ได้จากที่อื่น”
พุฒิพงศ์ แชร์มุมมองว่า สวนสนุกต้องมีเอกลักษณ์และสร้างแรงดึงดูดมากพอให้คน “อยากออกจากบ้าน” มาใช้เวลาด้วย ดังนั้นการออกแบบประสบการณ์ของลูกค้าต้องพิเศษและแตกต่างจากความบันเทิงรูปแบบอื่น
แต่สวนสนุกต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ เพราะถ้าไม่พัฒนา ต่อให้ไม่มีคู่แข่ง ลูกค้าก็อาจมาแค่ครั้งเดียว แล้วไม่กลับมาใช้บริการอีก
ปรับตัว รับมือ “ความท้าทาย”
คนที่ชื่นชอบในการเที่ยวสวนสนุก คงจะสังเกตได้ว่า มีสวนสนุกใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงการมาของ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซึ่งอาจมีสวนสนุก สวนน้ำอยู่ในนั้นด้วย
สำหรับ พุฒิพงศ์ มองว่า เป็นผลดีต่อลูกค้า และลูกค้าไม่จำเป็นต้องเลือกความบันเทิงแค่แบบใดแบบหนึ่ง แต่ละคนสามารถเลือกความบันเทิงได้หลากหลาย และมองว่าการมีคู่แข่งเยอะ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการท่องเที่ยว กระตุ้นให้คนออกจากบ้านและแสวงหาความบันเทิงหลากหลายรูปแบบมากขึ้น และจะส่งผลดีให้กับธุรกิจสวนสนุกด้วยเช่นกัน
พุฒิพงศ์ ยังแชร์ตัวอย่างของดรีมเวิลด์ ที่เกิดขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 ว่าฐานลูกค้าของดรีมเวิลด์กว้างขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานปลาย ๆ ที่เพิ่งมีครอบครัว พากันกลับมาเที่ยวพร้อมลูก ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ความทรงจำ” จากการเคยมาเที่ยวตอนเด็ก ทำให้เกิดความรู้สึกอยากให้ลูกได้รับประสบการณ์เดียวกัน
ขณะที่ความท้าทายด้านอื่น ๆ ทั้งเศรษฐกิจในประเทศไทยที่ชะลอตัว กำลังซื้อหด และสถานการณ์ในต่างประเทศ นั้น พุฒิพงศ์ มองว่า ธุรกิจสวนสนุกไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก แม้สภาพเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ผู้คนยังต้องการ “ความบันเทิง” อยู่เสมอ และสวนสนุกก็ยังเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์นี้ได้
นอกจากนี้ ดรีมเวิลด์ยังเน้นการกำหนดราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน และลูกค้ายังได้รับความสนุกกลับไป
ขณะที่มุมของการทำธุรกิจสวนสนุก โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องเล่นจากต่างประเทศ และอาจเจอเรื่องภาษี หรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้นั้น พุฒิพงศ์ มองว่า ต้องปรับตัวและวางแผนรับมือ เพราะยังไงก็ต้องกระทบกับธุรกิจของเรา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ภาพอนาคตของ “ดรีมเวิลด์”
เมื่อเราถามถึงภาพการเปลี่ยนแปลง ตลอดกว่า 10 ปีที่ แบงค์-พุฒิพงศ์ ได้เข้ามาทำงาน สิ่งหนึ่งที่เขาสะท้อนอย่างชัดเจน คือ ฐานลูกค้ากว้างขึ้นมาก เห็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา จนถึงวัยทำงาน กลุ่มสูงวัยนัดมาเที่ยวดรีมเวิลด์ ถือเป็นภาพการเติบโตที่ประทับใจ และทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้น มีความหมาย เป็นสิ่งที่ดีกับทุกคน
ส่วนภาพในอนาคตของดรีมเวิลด์นั้น พุฒิพงศ์ เล่าว่า ดรีมเวิลด์จะยังพัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยในทุก ๆ 1 ปีครึ่ง ถึง 2 เดือน จะมีการลงทุนเครื่องเล่นใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า และยังต้องมุ่งหน้าในการพัฒนาร่วมกับทีมงาน และเทคโนโลยี เพื่อมอบประสบการณ์ที่ลูกค้าหาจากที่ไหนไม่ได้ ตอบโจทย์ทุกคน ตามสโลแกนที่ตั้งไว้ว่า “สุข สนุก ทั้งครอบครัว”
บทเรียนจาก “การบริหารสวนสนุก”
ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาที่ แบงค์-พุฒิพงศ์ เข้ามาทำงานที่ดรีมเวิลด์ เขาแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้ ดังนี้
1. มีเรื่องเรียนรู้ตลอด และสอนให้ “อดทน”
ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ในฐานะที่เขาเข้ามาเรียนรู้ พุฒิพงศ์ ยังรู้สึกว่ามีอะไรใหม่ ๆ ให้เรียนรู้อยู่ตลอด อาจจะด้วยธรรมชาติของธุรกิจ และมองว่าเมื่อได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ก็สอนให้ต้อง “อดทน” ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่คิดว่าสำคัญและมีประโยชน์ เพราะเมื่ออดทนเยอะ ก็มีโอกาสเรียนรู้เยอะ
2. พนักงาน = ผู้มีพระคุณ
พุฒิพงศ์ มองว่า พนักงานคือผู้มีพระคุณ เรามีหน้าที่ต้องตอบแทนพนักงาน ดูแลพนักงานให้พร้อมทำงานทั้งกายและใจ เพื่อให้พร้อมที่จะดูแลลูกค้าของเรา แล้วธุรกิจก็จะไปได้
3. สอนให้ใส่ใจ-มีความละเอียด
การทำงานที่ผ่านมา สอนให้เขาเป็นคนใส่ใจลูกค้า ต้องมีความละเอียดมากขึ้น มองตั้งแต่ภาพใหญ่ มองความต้องการลูกค้า มองภาพการพัฒนาบริการ หรือเกิดความไม่สะดวกในจุดไหน จะช่วยเหลือลูกค้าหรือพนักงานอย่างไรได้บ้าง ต้องเปิดหูเปิดตา คอยดูอยู่ตลอด
4. ผลตอบแทน มากกว่าแค่ ROI
พุฒิพงศ์ แชร์มุมมองเรื่องนี้ว่า ตลอดการทำดรีมเวิลด์ช่วงที่ผ่านมา สอนให้รู้ว่า นอกจากผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment : ROI) แล้ว ยังมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากลูกค้า ที่ถือเป็นแรงผลักดันให้เขาและทีมทุกคนได้พัฒนาต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แบงค์-พุฒิพงศ์ : ความชอบ ‘สวนสนุก’ สู่ “ดรีมเวิลด์” ที่โตแบบเป็นตัวเอง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net