แบงก์เกาะติด ‘ไทยVSกัมพูชา’ เปิดสาขาปกติ-เตรียมแผนรองรับฉุกเฉิน
แบงก์-น็อนแบงก์ แจงธุรกิจในกัมพูชายังดำเนินการปกติ หลังเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้ง “ธนาคารกรุงเทพ-กสิกรไทย-ฐิติกร” ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ลั่นไม่ประมาท-เพิ่มความระมัดระวัง พร้อมเตรียมแผนสำรองไว้รองรับหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ฟาก “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินผลกระทบต่อภาคการเงินในเบื้องต้น 3 มิติ ยังไม่น่ากังวล-แบงก์บริหารจัดการได้
นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้น ธนาคารยังไม่มีผลกระทบโดยตรงแต่อย่างใด โดยสาขาธนาคารในกัมพูชา ยังดำเนินธุรกิจตามปกติ มีการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นปกติ ทั้งการโอนเงิน ฝากเงิน ถอนเงิน การเบิกใช้สินเชื่อ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ธนาคารดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างระมัดระวัง และได้เตรียมแผนสำรองไว้ หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น โดยผู้จัดการสาขาได้เตรียมความพร้อมของพนักงานและการดำเนินธุรกิจให้มีความต่อเนื่อง ซึ่งจะคล้ายกับในช่วงที่มีการเกิดการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ แผนดังกล่าวสามารถนำมาใช้ได้ทันที
“ตอนนี้สาขายังคงเปิดปกติ แต่ก็ต้องระมัดระวัง ซึ่งในเชิงธุรกิจตอนนี้จากการประเมินยังไม่มีผลกระทบโดยตรง โดยสาขากัมพูชาเป็นสาขาค่อนข้างเล็ก มีลูกค้าใหม่ต่อเนื่อง ที่ผ่านมายังไม่ได้มีอะไรเป็นที่น่ากังวล และยังไม่มีสัญญาณความผิดปกติ ส่วนสถานการณ์จะลากยาวหรือไม่ ยังประเมินลำบาก ต้องติดตามใกล้ชิด”
นายภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันสาขากสิกรไทยในประเทศกัมพูชา ยังเปิดให้บริการตามปกติ อย่างไรก็ดี ธนาคารได้จัดเตรียมแผนสำรองในทุกด้าน ทั้งในส่วนของบุคลากร ระบบปฏิบัติการ รวมถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อรองรับกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
“แม้ภาพรวมสถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชาอาจมีความตึงเครียดและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ธนาคารยืนยันว่า ณ ตอนนี้ ยังไม่มีผลกระทบกับการทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ และอยากให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า ธนาคารพร้อมสนับสนุนลูกค้าอย่างเต็มที่ในทุกสถานการณ์”
นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทยังคงเปิดให้บริการสาขาในประเทศกัมพูชาทั้ง 12 แห่งตามปกติ ยังไม่มีผลกระทบ แต่บริษัทได้มีความระมัดระวังและมีแผนรองรับในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้
ทั้งนี้ ธุรกิจเช่าซื้อจักรยานยนต์ในกัมพูชายังเป็นตลาดที่มีการเติบโตได้ดีและขยายตัวสูงกว่าในประเทศไทย โดยความต้องการซื้อรถจักรยานยนต์ยังมีอยู่ ซึ่งในปี 2568 คาดว่าธุรกิจในกัมพูชาจะเติบโตราว 20% จากพอร์ตสินเชื่อ ณ ปี 2567 อยู่ที่ 837 ล้านบาท
“รายงานจากสาขาในกัมพูชายังคงเปิดปกติ ซึ่งเราคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เรายังมองว่าตลาดกัมพูชายังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และยังเติบโตได้ ภายหลังจากพอร์ตสินเชื่อในประเทศชะลอลง เพราะเราชะลอปล่อยกู้เพื่อรอดูเกณฑ์กำกับดูแลตามพ.ร.ฎ.ฉบับใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะมีผลบังคับใช้”
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการรวบรวม ประเมินผลเบื้องต้น และมีมุมมองต่อประเด็นที่ภาคการเงินของไทยมีความเชื่อมโยงกับกัมพูชาใน 3 มิติ ดังนี้ 1.มิติการโอนเงินและชำระเงิน โดยหากเป็นธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จะยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง แต่ยังมีประเด็นข้อกังวลด้านอื่นของภาคธุรกิจที่จะต้องติดตามใกล้ชิดหลังจากนี้
2.มิติการลงทุนในสินทรัพย์กัมพูชาของผู้ลงทุนไทย ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดพบว่ายังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด และ 3.มิติภาคการธนาคาร โดยพบว่าขนาดสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินรับฝากจากการดำเนินงานในกัมพูชา ยังมีสัดส่วนไม่สูง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับยอดคงค้างทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ในไทย
ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า พัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยข้อกังวลส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นในเรื่องธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจบริเวณแนวชายแดน อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อภาคธนาคารของไทยจะอยู่ในขอบเขตที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจาก 2 ประเด็นหลัก
คือ 1.ในการออกไปให้บริการทางการเงินในต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์จะใช้กลยุทธ์การดำเนินงานที่ระมัดระวังอยู่แล้ว โดยคำนึงถึงความพร้อมของทรัพยากรด้านการเงินและกำหนดขอบเขตการให้บริการทางการเงินเฉพาะในด้านที่มีความถนัด และ 2.ธนาคารพาณิชย์มีการติดตามและประเมินสถานการณ์ รวมถึงบริหารจัดการความเสี่ยงในธุรกิจต่างประเทศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แบงก์เกาะติด ‘ไทยVSกัมพูชา’ เปิดสาขาปกติ-เตรียมแผนรองรับฉุกเฉิน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net