บอกปุ๊บ จบปั๊ป ทำไมเวลาบอกเพื่อนว่าจะทำอะไร ถึงไม่สำเร็จทุกที
ปีนี้ฉันจะลาออกให้ได้ จะเขียนหนังสือให้เสร็จ และจะสัมภาษณ์งานใหม่ให้ผ่าน
ตั้งปณิธานเอาไว้ดิบดี ว่าปีนี้มีเป้าหมายอะไรที่อยากทำให้ได้บ้าง ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกใคร อยากอุบเงียบไว้ รอบอกตอนทำสำเร็จแล้ว แต่เจอหน้าเพื่อนทีไร ก็เก็บไว้ไม่อยู่ เผลอสปอยล์จนหมดเปลือกว่าเราตั้งใจจะทำอะไรบ้าง สุดท้ายไม่ว่าจะเป้าหมายเล็กหรือใหญ่ก็ดันไม่สำเร็จสักอย่าง
เราก็นึกคิดไปเองว่า ทั้งหมดมันคือความบังเอิญแหละ แต่พอมานั่งสังเกตดูให้ดี มีหลายครั้งอยู่เหมือนกันที่เวลาเราตั้งใจทำอะไรจริงจัง แล้วดันหลุดปากบอกคนอื่นไป เป้าหมายเหล่านั้นก็แทบทำไม่เคยสำเร็จเลย ราวกับเป็นคำสาปยังไงยังงั้น
ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเล็กหรือใหญ่ เพียงแค่บอกใครออกไป ก็เตรียมพับความตั้งใจลงกระเป๋าได้เลย ปรากฏการณ์แบบนี้มันคืออะไรกัน แล้วทำไมเราถึงห้ามบอกใครเวลาเราอยากทำอะไรให้สำเร็จด้วย
ทำมันให้ได้ สุดท้ายไม่ได้ทำ
เชื่อว่าหลายคนก็คงตั้งปณิธานบางอย่างเอาไว้ และหวังจะทำมันให้สำเร็จตามช่วงเวลาที่กำหนด แต่บางทีมันก็มีบ้างที่อยากเล่าให้เพื่อนรู้หรืออวดให้เพื่อนฟังว่า เราเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายเหล่านั้นมากแค่ไหนแล้ว แต่พอบอกทีไร สุดท้ายกลับลงเอยด้วยการไม่ทำต่อตลอดเลย
จริงๆ แล้วปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ใช่คำสาปอะไรน่ากลัวหรอก แต่มันคือการเชื่อมโยงกับความรู้สึกในสมองเรานี้แหละ มัรวา อาซับ (Marwa Azab) ศาสตราจารย์พิเศษด้านจิตวิทยาและพัฒนาการของมนุษย์ที่ California State University ชี้ให้เห็นว่า เวลาเราประกาศเป้าหมายอะไรก็ตามให้คนอื่นรับรู้ แล้วอีกฝ่ายชื่นชมเรากลับ แม้เราจะยังไม่ได้ลงมือทำอะไรก็ตาม สมองก็จะหลังโดพามีน อันเป็นสารแห่งความสุข ราวกับว่าเราบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว
หรือแม้ในกรณีที่เรากำลังค่อยๆ ลงมือทำอะไรบางอย่างในระยะยาว และเริ่มเห็นผลบางส่วนแล้ว แต่หากเราเผลอเล่าให้คนอื่นฟัง สมองก็อาจเข้าใจว่า เราทำสำเร็จแล้ว ซึ่งส่งผลให้เราขาดแรงจูงใจที่จะทำมันต่อ ตัวอย่างสถานการณ์เช่น เราตั้งใจจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัมในปีนี้ แต่หลังจากเริ่มกินอาหารคลีนได้ 2-3 วัน ก็ดันไปเล่าให้เพื่อนฟังว่า เราทำอะไรไปแล้วบ้างเพื่อเป้าหมาย หลังจากนั้นก็จึงอาจรู้สึกว่าความตั้งใจเราตั้งแต่แรกเป็นจริงแล้ว ทั้งๆ ที่เรายังจำเป็นต้องกินอาหารคลีนอีกเป็นพันมื้อก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ แต่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Intention-Behaviour Gap หรือช่องว่างระหว่างความตั้งใจและพฤติกรรม’ หมายถึงช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่าง ‘สิ่งที่เราตั้งใจจะทำ’ กับ ‘สิ่งที่เราทำจริงๆ’ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการที่สมองได้รับรางวัลทางอารมณ์เร็วเกินไปเพราะบอกเป้าหมายของเราให้คนอื่นได้รับรู้ และเมื่อสมองรู้สึกเช่นนั้น แรงกระตุ้นภายในที่ควรจะช่วยส่งให้เราลุกไปลงมือทำจริงๆ ก็อาจแผ่วลง ทำให้ช่องว่างขยายกว้างขึ้น ตัวเราเองก็อาจจะก้าวไปถึงความตั้งใจจริงได้ยากกว่าเดิม
ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะใหญ่ขนาดต้องใช้เวลาเป็นปีๆ ถึงจะสำเร็จ อย่าง การลดน้ำหนัก การเก็บเงินซื้อของ ตลอดจนการเตรียมสอบ หรือเป็นเป้าหมายเล็กๆ ที่ตั้งใจทำวันนี้พรุ่งนี้เลย เช่น การส่งอีเมลสมัครงานใหม่วันนี้ การงดของหวานตอนเย็น กระทั่งพรุ่งนี้เช้าจะตื่นไปวิ่งตั้งแต่ตี 5 หากเราดันเผลอไปเล่าให้คนอื่นฟังแล้ว ก็สามารถเกิดช่องว่าง พร้อมขวางกั้นไม่ให้เราไปถึงปลายทางได้ทั้งนั้น
ทั้งหมดก็อาจไม่ใช่ว่าเราไม่มีวินัยหรือไม่พยายามหรอก แต่เป็นกลไกของสมองเราต่างหาก ซึ่งทำให้เรารู้สึกไม่อยากทำมันต่อ เพราะทุกอย่างเหมือนสำเร็จลุล่วงไปแล้วนั่นเอง
แล้วเราจะทำเป้าหมายให้สำเร็จได้ยังไง
พอมาถึงจุดนี้ หลายคนก็อาจเริ่มกังวล ถ้าเราเผลอบอกเป้าหมายให้คนอื่นรับรู้ไปแล้ว มันก็คงไม่มีทางสำเร็จได้
ช้าก่อนอย่าเพิ่งรีบวิตกกังวลไป ปีเตอร์ โกลไวต์เซอร์ (Peter Gollwitzer) นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเกี่ยวกับการบรรลุเป้าหมาย ได้ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวไว้ด้วยเช่นกัน โดยปีเตอร์ โกลไวต์เซอร์ ได้คิดวิธีที่เรียกว่า ‘Implementation intention หรือ การใช้ความตั้งใจที่ชัดเจน’ สำหรับทำให้เป้าหมายเราเป็นจริงได้ แม้ช่องว่างระหว่างความตั้งใจและพฤติกรรมจะกว้างมากแค่ไหนก็ตาม
Implementation Intention เป็นวิธีการวางแผนแบบ ‘if–then’ ซึ่งผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบ ‘เมื่อเกิดสถานการณ์…ขึ้น ฉันจะทำ…’ โดยปีเตอร์ โกลไวต์เซอร์ มองว่า ยิ่งเราระบุความชัดเจนลงไปในแบบแผนละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการทำให้เป้าหมายสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันช่วยทำให้สมองของเราเชื่อมสิ่งที่ควรทำให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้แบบอัตโนมัติ
ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งเป้าหมายระยะยาวและเป้าหมายระยะสั้น ในสถานการณ์ในระยะยาว เช่น ปีนี้เราตั้งใจจะลดน้ำหนักให้ได้อย่างน้อย 10 กิโลกรัม เราอาจลองตั้งแบบแผนประมาณว่า ‘ถ้ากลับถึงบ้านก่อน 6 โมงเย็น เราจะไปเล่นฟิตเนสสัก 1 ชั่วโมง’ หรือ ‘ถ้าวันนี้เพื่อนชวนไปกินบุฟเฟ่ต์ เราจะเลือกกินแต่เนื้อแดงกับผัก และไม่กินของหวาน’ เป็นต้น
หากเป็นเป้าหมายระยะสั้น เราเองก็สามารถประยุกต์วิธีดังกล่าวมาใช้ได้ด้วยเช่นกัน อย่าง สิ้นเดือนนี้ตั้งใจว่าจะลาออก แต่เราดันแอบเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟัง ก็อาจลองตั้งว่า ‘ถ้าเลิกงานแล้ว เราจะเดินไปคุยกับหัวหน้าเรื่องลาออกทันที’ หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าง คืนนี้ตั้งใจจะอ่านหนังสือให้ได้ 20 หน้า เราก็อาจวางแผนว่า ‘หากวันนี้เข้านอนก่อน 3 ทุ่ม เราจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก่อนนอนทันที’
ท้ายสุดแล้ว แม้การบอกเล่าเป้าหมายของตนเองให้คนอื่นรับรู้ อาจมีโอกาสให้เราทำมันไม่สำเร็จจริง ทว่าหากเราปรับเปลี่ยนวิธีคิด และลองผลักดันตัวเองให้ไปถึงเป้าหมายอย่างเต็มที่ดู ก็อาจช่วยให้เรารู้สึกอยากกลับมาทำเป้าหมายให้สำเร็จอีกครั้งก็ได้
แต่คราวหน้า ถ้ามีเป้าหมายอะไรอยากทำให้สำเร็จ ลองอุบไว้ไม่บอกเพื่อนดู แล้วไว้ไปอวดอีกทีตอนสำเร็จแล้วก็ได้นะ
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Phitsacha Thanawanichnam
Editorial Staff: Runchana Siripraphasuk