เพิ่มงบฉุกเฉินจ.ชายแดน100ล.

"พิชัย" เร่งเข็นมาตรการช่วยเหลือประชาชน-ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ลุยขยายวงเงินทดรองราชการให้ผู้ว่าฯ 7 จังหวัด จังหวัดละ 100 ล้านบาท พร้อมขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอ ชงเลื่อนเวลายื่นแบบและชำระภาษีไปถึง 30 ก.ย.68 พ่วงให้ลดหย่อนค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 แสนบาท ยานพาหนะไม่เกิน 3 หมื่นบาท ด้านแบงก์รัฐเดินเครื่องอัดมาตรการช่วยเต็มสูบ พม. เล็งช่วยคนพิการ-ผู้ดูแลคนพิการ พักชำระหนี้กองทุนฯ 3 เดือน

เมื่อวันอังคาร นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ มาตรการในระดับพื้นที่ ประกอบด้วย 1.ขยายวงเงินทดรองราชการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดละ 100 ล้านบาท ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ได้แก่ ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทั้งนี้ การปรับเพิ่มวงเงินดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันและพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอ เพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว และตอบโจทย์ความต้องการในพื้นที่

2.อำนวยความสะดวกในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวข้องกับภารกิจด้านความมั่นคงให้สามารถดำเนินการได้อย่างเร่งด่วน ผ่านวิธีเฉพาะเจาะจง และ 3.เตรียมมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธ.ก.ส. โดยจะให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่เกษตรกร รวมถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) สำหรับผู้ได้รับความเสียหาย

และมาตรการด้านภาษี โดยเลื่อนเวลาการยื่นแบบและการชำระภาษี ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ จากเดิมระหว่างวันที่ 24 ก.ค.-31 ส.ค.2568 เป็นภายในวันที่ 30 ก.ย.2568 อีกทั้งประชาชนสามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากเหตุการณ์ความเสียหายได้ตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท และสำหรับยานพาหนะไม่เกิน 30,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการจากสถาบันการเงินของรัฐ ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ให้พักชำระเงินต้นให้กับลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบจนถึงงวดเดือนธันวาคม 2568 และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยบางส่วน และมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่ต้องมีหลักประกัน วงเงิน 20,000 บาทต่อราย ผ่อนชำระ 12 เดือน ดอกเบี้ย 0.60% ต่อเดือน, สินเชื่อเพื่ออาชีพ ผ่อนชำระ 60 เดือน ดอกเบี้ย 0.75% ต่อเดือน และสินเชื่อเอสเอ็มอี ลูกค้าเดิมไม่เกิน 5 ล้านบาท รายใหม่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ผ่อนชำระ 7 ปี ดอกเบี้ยปีแรก MLR -2.65%, ปีถัดไป MLR รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียม Front End Fee และ Prepayment Fee

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ย MRR (6.725%) ผ่อน 3 ปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือน และสินเชื่อฟื้นฟูชีวิตและทรัพย์สิน วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ดอกเบี้ย MRR -2% ต่อปี ผ่อนสูงสุด 15 ปี ด้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% นาน 5 ปี, ผู้ที่บ้านเสียหายทั้งหลัง หรือทุพพลภาพ/เสียชีวิต ได้สิทธิอัตราดอกเบี้ย 0.01% ตลอดอายุสัญญา และกรณีกู้สร้างบ้านใหม่ ดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก เดือนที่ 7-12 = 0.50% ต่อปี

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME D Bank) มีการพักชำระเงินต้น ลดค่างวด ขยายเวลา พร้อมทั้งมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เช่น “ปลุกพลัง SME” และ “Beyond ติดปีก SME” ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ผ่อน 10 ปี และสินเชื่อรีไฟแนนซ์ SMEs เริ่มต้นที่ 2.99% ด้านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ได้ขยายเวลาชำระหนี้ 365 วัน ลดดอกเบี้ยสูงสุด 20% และเพิ่มวงเงินชั่วคราว 1 ปี สูงสุด 30 ล้านบาท รวมทั้งมีมาตรการเสริม เช่น เงินทุนหมุนเวียนเพื่อออกงาน, Safe Trade, Export Credit Insurance เป็นต้น

สำหรับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้พักชำระเงินต้นและกำไรสูงสุด 6 เดือน ขยายได้อีก 6 เดือน และมีสินเชื่อเพื่อซ่อมบ้าน เริ่มต้น 1.99% ต่อปี วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท รวมถึงสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ เริ่มต้น 3.25% วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท ขณะที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีโครงการ PGS11 SMEs ยั่งยืน ค้ำประกันรายละ 0.5-10 ล้านบาท สูงสุด 7 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก, โครงการ SMEs Micro Biz ค้ำประกัน 10,000-500,000 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรกเช่นกัน โดยเปิดรับคำขอจนถึง 30 ธ.ค.2568

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ขอกู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี จันทบุรี ตราด สระแก้ว เพื่อช่วยเหลือ “คนพิการ” หรือ “ผู้ดูแลคนพิการ” ที่กู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในพื้นที่ 7 จังหวัดดังกล่าว ได้รับการผ่อนผันให้พักชำระหนี้เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2568

วันเดียวกัน ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน ไปมอบแก่พลทหารกิตติพงษ์ ดามะนาว สังกัดกรมทหารราบที่ 8 ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกของกระสุนปืนใหญ่ จากเหตุปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

ในโอกาสนี้ ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับพลทหารกิตติพงษ์ ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เชิญแจกันดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน ไปมอบให้แก่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบด้วย ร้อยโท พัฒนพงษ์ ปาระมี, จ่าสิบเอกสุรชาติ ชยานนท์, พลทหารทักษิณ เชิมชัยภูมิ, พลทหารสถิตย์พงศ์ เพ็งอารีย์ และพลทหารกิตติธัช คนยืน รวมจำนวน 5 นาย ยังความปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

นอกจากนี้ นายชัยวัฒน์ เชิญตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ครอบครัวพลทหารญาณพัฒน์ โคตรสาขา ทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 ที่บ้านเลขที่ 60/252 หมู่ 10 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมือง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต.