จีนไม่อิน! “Tesla” สะเทือนสองเด้ง หุ่นยนต์ติดล็อก รถไฟฟ้าถูกมองว่าเชย
(วันนี้ 12 ก.ค.68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน ว่า “Tesla” บริษัทเทคโนโลยียานยนต์และหุ่นยนต์จากสหรัฐฯ ที่เคยรุ่งเรืองในจีน กำลังเผชิญแรงเสียดทานครั้งใหญ่ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาพลักษณ์ในตลาดผู้บริโภคแดนมังกร ล่าสุด อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla เปิดเผยในการแถลงผลประกอบการประจำไตรมาสว่า การผลิตหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ “Optimus” กำลังสะดุดอย่างรุนแรง เนื่องจากมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากของรัฐบาลจีน
อีลอน มัสก์ กล่าวว่า “จีนต้องการการรับรองว่าแม่เหล็กเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาแค่กำลังนำแม่เหล็กเหล่านี้ไปใช้กับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์”
ต้นเหตุของปัญหา เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จีนได้ประกาศควบคุมการส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่หุ่นยนต์ พลังงาน ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า Tesla จึงต้องได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนในการนำเข้าแร่เหล่านี้ ทำให้แผนการผลิตหุ่นยนต์ Optimus ราว 5,000 ตัวภายในปีนี้เสี่ยงสะดุด
จาก “ไฮเทค” สู่ “ของเชย”?
ขณะที่ฝั่งเทคโนโลยีหุ่นยนต์กำลังสะดุด Tesla ยังต้องเผชิญแรงกระแทกจากตลาดรถไฟฟ้าในจีน ที่กำลังกลายเป็นพื้นที่แข่งขันดุเดือดมากที่สุดในโลก ชาวจีนจำนวนมากเริ่มมองว่า Tesla “ไม่ล้ำอีกต่อไป” เมื่อเทียบกับคู่แข่งท้องถิ่นอย่าง BYD, XPeng, Li Auto และ NIO
แบรนด์จีนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เสนอเทคโนโลยีใหม่ที่ล้ำหน้า เช่น ระบบ AI, อินเตอร์เฟซภาษาจีนขั้นสูง และระบบความบันเทิงในรถแบบครบวงจร แต่ยังสามารถปรับราคาลงได้อย่างยืดหยุ่นกว่า Tesla ที่ต้องนำเข้าชิ้นส่วนจำนวนมาก
ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า Tesla มียอดขายในจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง และราคาหุ้นร่วงแล้วกว่า 37% ตั้งแต่ต้นปี 2025 ท่ามกลางแรงกดดันจากการแข่งขันรอบด้าน
จีนกำลังได้เปรียบ?
ขณะที่ Tesla เจอทางตันในจีน ผู้ผลิตหุ่นยนต์ท้องถิ่นอย่าง Unitree Robotics และ Agibot กำลังเดินหน้าสู่การผลิต Optimus เวอร์ชัน “เมดอินไชน่า” ที่มีต้นทุนต่ำกว่าและเข้าถึงวัตถุดิบได้โดยไม่ติดข้อจำกัดจากรัฐ
นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า การควบคุมการส่งออกของจีนอาจกลายเป็น “ตัวพลิกเกม” ที่ช่วยให้บริษัทท้องถิ่นได้เปรียบในตลาดหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ระดับโลก ขณะที่บริษัทสหรัฐฯ อย่าง Tesla กลับต้องวิ่งหาทางรอด
สตีฟ เวสต์ลีย์ อดีตกรรมการ Tesla และผู้ก่อตั้ง Westly Group ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “Tesla ต้องเร่งหาเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนการเติบโต หากยังหวังจะเป็นผู้นำในยุคถัดไป ตลาด EV ไม่ใช่ที่มั่นของพวกเขาอีกต่อไป”
แม้ อีลอน มัสก์ จะยังคงยืนยันว่า Tesla จะผลิตหุ่นยนต์หลายพันตัวในปีนี้ และ Optimus จะกลายเป็นกำลังหลักในสายการผลิตรถยนต์ของบริษัท แต่คำถามใหญ่ คือ จีนจะยอมให้เกิดขึ้นหรือไม่?
Tesla อาจยังไม่ถึงจุดจบในจีน แต่เส้นทางข้างหน้าจะไม่ง่ายอีกต่อไป เมื่อทั้งกฎหมาย การเมือง และตลาดผู้บริโภคต่างหันหลังให้พร้อมกัน