รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ไร้ความหวัง !?

เมืองไทย 360 องศา

แค่เพียงเริ่มเปิดสภาวันแรก “ก็โดนเสียแล้ว” กับการทดสอบของฝ่ายค้านด้วยการนับองค์ประชุมสภาจนทำให้ “สภาล่ม” ต้องปิดประชุมลงทันที สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาล “เสียงปริ่มน้ำ” นั้นมีความเสี่ยงต่อทั้งการดำเนินการตามนโยบายสำคัญด้วยความยากลำบาก ขณะเดียวกันเมื่อเสียงของรัฐบาลเป็นแบบนี้อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือน “เดินอยู่บนเส้นด้าย” จนแทบไม่มีความหวังใดๆเลย

มีรายงานงานว่า เมื่อเวลา 13.10 น. วันที่ 3 กรกฎาคมที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปีที่ 2 ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ภายหลังเสร็จสิ้นกระทู้ถามสด มีการอ่านพระราชโองการเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร และพระราชโองการให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง พร้อมแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่

ต่อมาเวลา 13.45 น. หลังเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมเรื่องการรับรองรายงานการประชุม ปรากฏว่า นายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขอนับองค์ประชุมในทันที ทำให้ นายวัชรพล ขาวขำ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ประท้วงว่า มีผู้รับรองในการเสนอนับองค์ประชุมไม่ครบ แต่ นายพิเชษฐ์ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีผู้รับรองรายงานการประชุมครบถ้วน ทำให้ สส.เพื่อไทย พยายามที่จะยื้อเวลา โดยขอให้รอสมาชิกมาเข้าประชุม โดยอ้างว่าหลายคนติดการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สภาผู้แทนราษฎร แต่เมื่อรอมาหลายนาทีสมาชิกก็ยังเข้ามาในห้องประชุมไม่ครบ ทำให้ นายวัชรพล ขอเสนอให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อเป็นรายบุคคล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่รอให้สมาชิกเข้าห้องประชุมประมาณ 10 นาที นายพิเชษฐ์ จึงแจ้งในที่ประชุมว่า “วันนี้เป็นการประชุมสภา วันแรก ดังนั้น เราเอาแค่นี้ก่อนครับ ขอปิดประชุม” จากนั้นได้สั่งปิดประชุมทันทีเมื่อเวลา 13.58 น.

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่ สส.ขาดประชุมจำนวนมาก เนื่องจาก สส.บางส่วนที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี ต้องไปร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณตนกับคณะรัฐมนตรี ขณะที่อีกส่วนได้ไปร่วมแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีป้ายแดง แต่เมื่อทราบว่ามีการเสนอนับองค์ประชุมต่างรีบกลับมาให้ทันนับองค์ประชุม แต่นายพิเชษฐ์ได้ชิงปิดประชุมไปเสียก่อน

แน่นอนว่าการเปิดประชุมสภาวันแรกยังไม่มีวาระสำคัญอะไรเข้าพิจารณาในที่ประชุม เป็นเพียงการตั้งกระทู้ การรับรองรายงานการประชุม แต่เมื่อฝ่ายค้านเสนอนับองค์ประชุมมันก็เหมือนกับการ “ลองของ” ทำสอบเสียงของฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่ต้นมือแบบนี้ และเมื่อผลออกมาทำให้องค์ประชุมล่ม ถือว่าเป็น “สัญญาณไม่ดี” ตั้งแต่วันแรก

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พรรคฝ่ายค้าน ขอนับองค์ประชุม จนที่ประชุมล่มตั้งแต่วันแรกของการประชุมสภานั้น

นายสุริยะ ระบุว่า เสียงน้อยก็ต้องพยายาม ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลก็พยายามให้ สส. เข้าประชุมให้ครบ และรัฐมนตรีที่เป็น สส. ก็ให้เอางาน ไปทำที่สภา

หากพิจารณากันด้วยตัวเลขก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลมีเสียงข้างมากที่เป็นทางการเกินมาราว 10 เสียงเท่านั้นถือว่าฉิวเฉียดมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องพิจารณากฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับการเงิน เช่น ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 ที่ต้องเข้าพิจารณาในวาระ 2-3 ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดไม่ผ่านก็ต้อง “จบเห่” นั่นคือนายกรัฐมนตรีต้องลาออกหรือยุบสภาเท่านั้น

หรือแม้กระทั่งร่างกฎหมาย “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือที่รู้จักกันว่า “กฎหมายเปิดบ่อน” ที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อในสมัยประชุมนี้ ยิ่งมีความเสี่ยง เพราะถือว่าเป็น “กฎหมายการเงิน” เหมือนกัน ยิ่งเมื่อเจอกับสภาพ “เสียงปริ่มน้ำ” แบบนี้ ยิ่งสาหัสเข้าไปอีก นอกเหนือจากต้องเจอกับแรงต้านจากสังคมรอบทิศแล้ว เรียกว่าเมื่อเป็นแบบนี้แล้วแทบมองไม่เห็นอนาคตเลย

ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่มีฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล เช่น นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากำลังพิจารณาอยู่ว่าจะขอเลื่อนหรือถอนออกจากสภาก่อน โดยตามปกติการถอนร่างต้องผ่านมติสภา เว้นแต่สภาไม่ติดใจก็สามารถถอนออกได้ทันที

นายชูศักดิ์อ้างว่า เนื่องจากมีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ และมีรัฐมนตรีใหม่เข้ามา จึงต้องนำเรื่องนี้กลับมาหารือให้ชัดก่อนเพื่อเช็กความพร้อมก่อนเดินหน้าในขั้นตอนต่อไป

แน่นอนว่านี่คือท่าที “ถอยกรูด” อย่างชัดเจน เพราะอย่างที่รู้กันก็คือเสียงของรัฐบาล “ปริ่มน้ำ” เสี่ยงเกินไป และมีอันตรายถึงขั้นรัฐบาลพังพินาศในชั่วข้ามคืน อีกทั้งในเวลานี้เมื่อพิจารณาทั้งบรรยากาศและ “สถานะ” ของ นายกรัฐมนตรี น.ส.แทองธาร ชินวัตร ที่ถูก “สั่งพัก” การปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยแล้ว หากยังดึงดันเดินหน้าต่อ ก็เหมือนกับการ “เติมเชื้อไฟ” เผาให้วายวอดแน่นอน

ดังนั้นหากพิจารณาในภาพรวมของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เวลานี้แทบไม่ต่างจาก “เป็ดง่อย” ไม่อาจจะทำอะไรได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น “หัวกุด” เพราะตัวผู้นำรัฐบาล คือ น.ส.แพทองธาร ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในเรื่อง “จริยธรรม” ออกมา และแม้ว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบปีก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแทบ “ไร้ความหมาย” ใดๆเกิดขึ้นมาเลย

ขณะเดียวกันในเวลานี้เสียงของรัฐบาลอยู่ในภาวะปริ่มน้ำ ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำในสภาจากการเสนอกฎหมายสำคัญมีสูงยิ่ง และที่สำคัญเมื่อพิจารณาจากโฉมหน้าของรัฐมนตรีทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าที่มีอยู่เดิมแทบจะไร้ความหวัง ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านได้เลยมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ได้แต่นับถอยหลังเท่านั้นเอง !!

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO