พาณิชย์ เร่งปิดดีล FTA ไทย-อียู เจาะตลาดกำลังซื้อสูง-ลงทุนอุตสาหกรรมอนาคต
พาณิชย์ วางเป้าเจรจา FTA ไทย-อียู ให้เสร็จในปี 2568 เน้นประเด็นการค้าใหม่ หวังเปิดประตูสู่ตลาดกำลังซื้อสูง ดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมอนาคตเสริมแกร่งเศรษฐกิจไทย
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) โดยยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะเร่งปิดดีลให้ได้ภายในปี 2568 พร้อมเน้นย้ำว่าการเจรจาต้องยึดหลัก "ความเร็วที่มาพร้อมคุณภาพ" เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน
รัฐมนตรีช่วยฯ เปิดเผยผลการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในงาน “Voice x Vision: Thai-EU FTA in Focus” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และภาคประชาสังคม เพื่อกำหนดทิศทางการเจรจาอย่างรอบด้านและยั่งยืน
FTA ไทย-อียู ถือเป็นความตกลงที่มีมาตรฐานสูงและครอบคลุมประเด็นการค้าสมัยใหม่ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การค้าดิจิทัล และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเจรจาได้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเจรจาไปแล้ว 6 รอบ และสามารถสรุปข้อตกลงได้แล้ว 7 บท จากทั้งหมด 24 บท
นายฉันทวิชญ์กล่าวว่า หากการเจรจาบรรลุผลสำเร็จ จะเป็นโอกาสสำคัญในการขยายการค้าและการลงทุนของไทย โดยจะช่วยลดภาษีนำเข้าและเปิดประตูให้สินค้าเกษตรและผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดอียู ซึ่งมีขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากธุรกิจยุโรปในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีชีวภาพ และพลังงานหมุนเวียน
สำหรับประเด็นสำคัญที่หารือในเวทีครั้งล่าสุด ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา และพลังงาน โดยกระทรวงพาณิชย์จะนำข้อคิดเห็นทั้งหมดไปประกอบการกำหนดท่าทีเจรจาในรอบที่ 7 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ ปลายเดือนกันยายนนี้
นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) กล่าวเสริมว่า FTA ฉบับนี้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อไทยอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยยกระดับศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลก และเป็นการเปิดรับมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัวให้เท่าทัน