สองวลี สองยุคสมัย: จากบกพร่องโดยสุจริต ถึงบกพร่องโดยขาดประสบการณ์
จากวันที่ทักษิณเอ่ย “บกพร่องโดยสุจริต” จนถึงวันที่แพทองธารเลือกใช้ “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” วลีจากสองรุ่นในตระกูลเดียวกัน ไม่ได้เป็นเพียงคำแก้ต่างในคดี แต่กลายเป็นร่องรอยที่สังคมไทยยังหยิบมาพูดซ้ำ และกำลังจะถูกบันทึกซ้อนทับอีกครั้งใน 29 สิงหาคม 2568
การเมืองไทยไม่เคยจดจำเพียงบรรทัดในคำพิพากษา หากแต่จดจำ วลีที่เปล่งออกมาในยามคับขันคำไม่กี่คำที่ตั้งใจเป็นเพียงกันชนเฉพาะหน้า กลับกลายเป็น ร่องรอยทางการเมือง ที่สังคมยังคงหยิบมาพูดซ้ำ เล่าซ้ำ และตีความซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา มีเพียงตระกูลเดียวที่สร้างร่องรอยเหล่านี้ได้ชัดเจนที่สุด นั่นคือ ตระกูลชินวัตร ครั้งหนึ่ง ประเทศไทยได้ยิน “บกพร่องโดยสุจริต” จากปาก ทักษิณ ชินวัตร และวันนี้ ประเทศไทยกำลังได้ยิน “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” จากปาก แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวที่ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้สูงสุดเช่นเดียวกับบิดา
สองวลี สองห้วงเวลา แต่เชื่อมเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องของพ่อกับลูก ที่ต่างต้องใช้ ภาษาสั้นๆ เป็นเกราะกำบัง เมื่อเส้นทางการเมืองถูกผูกไว้กับทั้งคำวินิจฉัยและความทรงจำของสังคม
เพื่อเข้าใจน้ำหนักของ “บกพร่องโดยสุจริต” ต้องย้อนกลับไป 9สิงหาคม 2544 ตอนนั้น ทักษิณเพิ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ครึ่งปี พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย บรรยากาศเต็มไปด้วย ความคาดหวังครั้งใหญ่ ว่าการเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมหน้า
แต่เพียงไม่กี่เดือน เก้าอี้ที่เพิ่งได้มาก็สั่นสะเทือน เมื่อเขาถูกกล่าวหาในคดี ซุกหุ้น หุ้นมหาศาลถูกโอนให้แม่บ้าน คนขับรถ และรปภ. ถือแทน ภาพที่สังคมเห็นคือการปกปิดทรัพย์สิน หากศาลวินิจฉัยว่าเป็นการจงใจทุจริต เส้นทางการเมืองของทักษิณอาจสิ้นสุดลงเพียงไม่กี่เดือนหลังชนะเลือกตั้ง
แรงกดดันเวลานั้นไม่ได้เป็นเพียงชะตาของนายกรัฐมนตรี แต่คือ ความหวังของผู้คนนับล้าน ที่เพิ่งเทคะแนนให้ “นักธุรกิจการเมือง” คนแรกของไทย ทักษิณจึงเลือกใช้วลีสั้น ๆ อธิบายต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า “บกพร่องโดยสุจริต”
วลีนี้เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง — หากบกพร่องแล้วจะสุจริตได้อย่างไร? แต่ในความย้อนแย้งนั้นเอง มันเปิดช่องให้ศาลตีความว่าเป็นเพียง ความผิดพลาดในการจัดการ มากกว่าความตั้งใจทุจริต ผลลงเอยด้วยเสียงข้างมาก 8ต่อ 7 ให้ทักษิณรอด เก้าอี้นายกรัฐมนตรีจึงยังมั่นคงต่อไป
จากนั้น “บกพร่องโดยสุจริต” ก็กลายเป็นมากกว่าคำแก้ต่าง มันกลายเป็น วลีทางการเมือง ที่สังคมไทยหยิบมาล้อเลียน วิพากษ์ และพูดซ้ำ ทักษิณรอดจากคดี แต่ไม่เคยรอดจาก ความทรงจำของสังคม
กว่าสองทศวรรษต่อมา ชื่อของ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ถูกผลักเข้าสู่สถานการณ์คล้ายกัน คดี “คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน” กลายเป็นจุดตัดสินเส้นทางการเมืองครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568
ข้อกล่าวหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะโยงไปถึง อธิปไตยและความมั่นคงของชาติ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง หมายถึงเส้นทางที่อันตรายที่สุดต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหญิงวัย 39 ปี
เมื่อแรงกดดันถาโถม ทีมกฎหมายของเธอเลือกหยิบวลีสั้นๆ มาต่อสู้ “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” คำที่ไม่ปฏิเสธความผิดพลาด แต่บอกสังคมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เจตนา หากเป็นเพียงก้าวแรกของคนรุ่นใหม่ ที่ยังไม่ช่ำชอง
ต่างจากบิดาที่เจอคดีซุกหุ้น ลูกสาวต้องเผชิญข้อครหาคลิปเสียง ต่างยุค ต่างเงื่อนไข แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งคู่ต่างต้องใช้ วลีสั้นๆ เป็นโล่ เพื่อรักษาเก้าอี้สูงสุดให้อยู่ต่อ
เมื่อเปรียบ “บกพร่องโดยสุจริต” ของทักษิณกับ “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” ของแพทองธาร สิ่งที่เห็นชัดคือ หัวใจเดียวกัน ใช้ภาษาเป็นอาวุธเพื่อยื้อเวลาอยู่บนเส้นทางอำนาจ
แต่เงื่อนไขสองยุคต่างกันโดยสิ้นเชิง ปี 2544 การเมืองไทยเปิดฉากด้วย ชัยชนะถล่มทลาย ของไทยรักไทย สังคมเต็มไปด้วย ความหวังว่าการเมืองทั้งระบบจะเปลี่ยนหน้า หากก้าวแรกพลาด ความฝันอาจพังครืนลงตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น
ปี 2568 ภาพตรงข้ามชัดเจน ความเชื่อมั่นทางการเมืองไม่ได้เริ่มด้วยพลังบวก หากรายล้อมด้วย ความระแวงและคำถามไม่รู้จบ ทั้งจากภายในที่ยังไม่ลงตัว และจากภายนอกที่เฝ้าจับตา แพทองธารไม่ได้ขึ้นมาท่ามกลางเสียงเชียร์ แต่ขึ้นมาท่ามกลาง สายตาที่พร้อมจะจับผิดทุกฝีก้าว
นี่คือความต่างของสองห้วงเวลา นายกรัฐมนตรีที่ต่างต้องใช้ คำพูดเพื่ออธิบายความผิดพลาด แต่เมื่อวลีเหล่านั้นหลุดออกไป มันไม่เคยหยุดอยู่ในห้องพิจารณา หากกลายเป็นตราประทับของยุคสมัย ที่สังคมหยิบมาเล่าซ้ำ ตีความใหม่ และนำไปใช้ทั้งในเชิงเกราะ ทั้งในเชิงมีด หรือแม้แต่ในเชิงล้อเลียน
“บกพร่องโดยสุจริต” ไม่ได้หยุดอยู่ในปี 2544 ทุกครั้งที่สังคมตั้งคำถามเรื่อง ความโปร่งใส วลีนี้จะปรากฏอีก ไม่ว่าจะในสภา บทความ หรือบนป้ายประท้วง มันกลายเป็นเงาที่ตามชื่อของทักษิณไปทุกที่ ไม่ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในหรือนอกประเทศ
วันนี้ “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” ก็กำลังเดินบนเส้นทางเดียวกัน คำที่ตั้งใจจะใช้เป็นกันชน อาจกลายเป็น รอยสลัก ที่ติดตามแพทองธารไปตลอดเส้นทางการเมือง
29สิงหาคม 2568 จึงไม่ใช่เพียงวันของคำวินิจฉัย แต่คือการเขียนซ้ำของบันทึกการเมืองไทย สำหรับเครือข่ายตระกูลชินวัตรอีกครั้ง
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ทุกครั้งที่คนจากตระกูลนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด ก็มักต้องเผชิญเส้นทางที่ไปสิ้นสุดลง ณ ศาลรัฐธรรมนูญ
นับจากปี 2544 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีจากเครือข่ายนี้แล้วหกคน ได้แก่ ทักษิณ ชินวัตร, สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, เศรษฐา ทวีสิน และล่าสุดคือ แพทองธาร ชินวัตร
ทุกคนล้วนถูกบันทึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องสะดุดกลางทางจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
สมัคร สิ้นสุดวาระเพราะทำรายการโทรทัศน์ สมชาย พ้นจากตำแหน่งเพราะคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน ยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดการรักษาการเพราะกรณีย้ายถวิล เปลี่ยนศรีเศรษฐา เพิ่งพ้นตำแหน่งด้วยคำตัดสินล่าสุด
ในบรรดานายกฯ ทั้งหมด มีเพียง ทักษิณ ชินวัตร คนเดียวที่รอดพ้นได้ ด้วยวลี “บกพร่องโดยสุจริต” ส่วนคนอื่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ต่างก็สิ้นสุดวาระก่อนเวลา
วันนี้ถึงคราวของ แพทองธาร ชินวัตร ที่เลือกหยิบ “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” มาเป็นโล่ เธอกำลังเดินบนเส้นทางเดียวกับบิดา แต่ปลายทางจะเป็นการรอด หรือสะดุดซ้ำเหมือนคนก่อนหน้า ไม่มีใครคาดเดาได้
สิ่งที่แน่นอนแล้วคือ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาเช่นไร “บกพร่องโดยสุจริต” ของพ่อ และ “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” ของลูก ได้ถูกสลักลงใน บันทึกการเมืองไทย เป็นสองวลีจากสองยุค ที่สะท้อนทั้งความต่อเนื่องและความล่อแหลมของตระกูลชินวัตรบนเส้นทางอำนาจ—ร่องรอยซึ่งต่อให้เวลาผ่านไป ก็ยากจะลบเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย.