โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

"ESCAP" ประเมินไร้ผู้ชนะ "ภาษีทรัมป์" เปิด 6 แนวทาง "อาเซียน" รับมือ เสนอเพิ่มการค้า-ต่อรองร่วมกัน

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา
“ESCAP” ประเมินไร้ผู้ชนะ “ภาษีทรัมป์” เปิด 6 แนวทาง “อาเซียน” รับมือ เสนอเพิ่มการค้า-ต่อรองร่วมกัน

อาเซียนถือเป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ภาษีตอบโต้หรือภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับบรรดาประเทศคู่ค้า จะทำให้การส่งออกของอาเซียนไปยังสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่าง ๆ จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวเลขภาษีที่ลดลง หรืออย่างน้อยก็ต่ำกว่าประเทศอาเซียนด้วยกัน เพราะถึงแม้อาเซียนจะเป็นกลุ่มความร่วมมือ แต่ขณะเดียวกัน แต่ละประเทศสมาชิกต่างก็เป็นตลาดสินค้านำเข้าที่สำคัญของสหรัฐฯ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแข่งขันกันเองด้วย

ในสถานการณ์เช่นนี้ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) แนะว่า อาเซียนจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการหาตลาดใหม่ หรือกระชับความสัมพันธ์กับตลาดเดิมที่มีอยู่ เพื่อชดเชยการสูญเสียการส่งออกไปยังสหรัฐฯ พร้อมแนะ 6 แนวทางสำหรับอาเซียนในการรับมือกับภาษีสหรัฐฯ ร่วมกัน

ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่ออาเซียน ก่อนอื่น ต้องทบทวนกันว่า แต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีไปประเทศละเท่าไหร่

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าหลากหลายชนิดจากหลายประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าของสหรัฐฯ โดยประเทศอาเซียนต่างโดนภาษีกันถ้วนหน้า มากน้อยแตกต่างกันตามลำดับ ดังนี้ กัมพูชา (49%) สปป.ลาว (48%) เวียดนาม (46%) เมียนมา (44%) ไทย (36%) อินโดนีเซีย (32%) มาเลเซีย (24%) บรูไน (24%) ฟิลิปปินส์ (17%) สิงคโปร์ (10%)

ก่อนที่ในเวลาต่อมา ปธน.ทรัมป์จะประกาศชะลอการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวออกไป 90 วันเป็นวันที่ 9 ก.ค. พร้อมเปิดทางให้ประเทศต่าง ๆ เจรจาต่อรองภาษีได้ ซึ่งผลปรากฏว่า เวียดนามเป็นชาติแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้ก่อนเดดไลน์ ทำให้อัตราภาษีของเวียดนามลดลงมาอยู่ที่ 20% ขณะเดียวกัน การคว้าดีลของเวียดนามสร้างความกดดันไม่น้อยให้ประเทศอื่น ๆ ที่ยังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ไม่ลุล่วง เพราะเท่ากับว่าประเทศของตนจะเสียเปรียบการแข่งขันให้กับเวียดนาม

แต่ก่อนที่จะถึงเส้นตายเพียงไม่กี่วันก็มีเรื่องให้ต้องลุ้นระทึกกันอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ปธน.ทรัมป์ขีดเส้นตายใหม่ในการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ออกไปเป็นวันที่ 1 ส.ค. และยังได้ส่งจดหมายถึงผู้นำ 14 ประเทศเพื่อแจ้งอัตราภาษีใหม่ ซึ่ง 6 ประเทศในจำนวนนี้ล้วนเป็นชาติสมาชิกอาเซียน บางประเทศก็ได้รับข่าวดี อัตราภาษีลดลง เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา ขณะที่บางประเทศต้องปาดเหงื่อ เพราะไม่ได้ลดภาษี เช่น ไทย อินโดนีเซีย ส่วนฟิลิปปินส์ยิ่งหนาว เพราะถูกขู่เก็บภาษีเพิ่ม

อย่างไรก็ดี หลังเดินหน้าเจรจาต่ออย่างเข้มข้น อินโดนีเซียกลายเป็นประเทศที่สองในอาเซียนที่สามารถเคาะดีลกับสหรัฐฯ ได้ก่อนเดดไลน์ ส่งผลให้อัตราภาษีลดลงมาอยู่ที่ 19% และฟิลิปปินส์ตามมาติด ๆ เป็นประเทศที่สามในอาเซียนที่คว้าข้อตกลงได้ก่อนเส้นตาย โดยอัตราภาษีของฟิลิปปินส์ลดลงมาอยู่ที่ 19% เช่นกัน

จนกระทั่งวันที่ 31 ก.ค. ก่อนถึงกำหนดเส้นตายวันเดียว ในที่สุดปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศใช้อัตราภาษีใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 2568

สำหรับภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดใช้กับประเทศในอาเซียนเมื่อวันที่ 2 เม.ย. เทียบกับอัตราภาษีที่ปรับแก้ไขล่าสุด มีดังนี้:

กัมพูชา : 49% >> (36%) >> 19%

ลาว : 48% >> 40%

เวียดนาม : 46% >> 20%

เมียนมา : 44% >> 40%

ไทย : 36% >> (36%) >> 19%

อินโดนีเซีย : 32% >> (32%) >> 19%

มาเลเซีย : 24% >> (25%) >> 19%

บรูไน : 24% >> 25%

ฟิลิปปินส์ : 17% >> (20%) >> 19%

สิงคโปร์ : 10% (ภาษีศุลกากรพื้นฐาน)

สูงสุดแพ้ - ต่ำสุดได้เปรียบจริงหรือไม่ อาจกล่าวได้ว่า สปป.ลาวและเมียนมาถือเป็น "ผู้แพ้" ในสังเวียนนี้ เนื่องจากต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสหรัฐฯ สูงถึง 40% ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของสองประเทศที่ปัจจุบันก็เป็นรองประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนอยู่แล้ว ขณะที่บรูไนได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่ 25% แต่ก็ยังนับว่าเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

ในทางกลับกัน สิงคโปร์ได้รับอัตราภาษีต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียนที่ 10% อย่างไรก็ตาม เวิน จง เจีย นักวิจัยจาก Economist Intelligence Unit (EIU) ชี้ว่า การส่งออกของสิงคโปร์มีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงกว่า นอกจากนี้ ยาและเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักสองชนิดของสิงคโปร์ ไม่ใช่สินค้าส่งออกสำคัญของประเทศอาเซียนอื่น ๆ ทำให้สิงคโปร์ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่าเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้

ไม่มีผู้ชนะที่ชัดเจน หากไม่นับรวมสิงคโปร์ ประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญของอาเซียนล้วนถูกกำหนดภาษีในอัตราเท่ากันที่ 19% ซึ่งได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา

ขณะที่เวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก ต้องรับมือกับอัตราภาษีสูงกว่าเล็กน้อยที่ 20% อย่างไรก็ตาม โจซัว ปาร์ดีดี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Permata Bank ระบุว่า ความแตกต่างเพียง 1% นี้ "ไม่มีนัยสำคัญ" และ "ไม่เพียงพอ" ที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ได้ โดยเขาอธิบายว่าความสามารถในการแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลิตภาพ ต้นทุนโลจิสติกส์ คุณภาพของสินค้า และความสัมพันธ์ทางธุรกิจด้วย

"เวียดนามยังคงมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และรองเท้า" โจชัวกล่าว "ความแตกต่างของภาษีเพียงเล็กน้อยอาจไม่มากพอที่จะทำให้ปริมาณการค้าจากเวียดนามย้ายไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น"

คนละกระบวนท่า แต่ผลลัพธ์เดียวกัน ตลอดหลายเดือนนับตั้งแต่ปธน.ประกาศภาษีศุลกากรครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต่างพึ่งพาการส่งออกได้พยายามทุกกระบวนท่าเพื่อขอปรับลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า แม้แต่ละประเทศใช้กลยุทธ์การเจรจาที่แตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่หนีไปกว่ากันนัก ซึ่งในที่นี้หมายความถึง อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ที่โดนภาษีเท่ากันที่ 19%

อินโดนีเซียทุ่มสุดตัว เวิน จง เจีย นักวิจัยจาก Economist Intelligence Unit (EIU) กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศหนึ่งที่เสนอ "ข้อแลกเปลี่ยนที่ใจกว้าง" แก่สหรัฐฯ กล่าวคือ สินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 99% ที่ส่งไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี และอินโดนีเซียยังต้องยกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในหลายภาคส่วน เช่น สินค้าเกษตร ยานยนต์ และเทคโนโลยี นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังตกลงที่จะซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ เป็นมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ ตลอดจนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านดอลลาร์ และพลังงานมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

เจียชี้ด้วยว่า การที่อินโดนีเซียยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในการผ่อนปรนข้อกำหนดการใช้สัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (local content requirements) ซึ่งเป็นนโยบายที่อินโดนีเซียใช้มาอย่างยาวนานเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศนั้น อาจทำให้การดำเนินยุทธศาสตร์ที่คล้ายกันในอนาคต หรือใช้กับประเทศอื่น กลายเป็นเรื่องยากขึ้น

มาเลเซียได้เปรียบเพราะเซมิคอนดักเตอร์ ด้านมาเลเซียตกลงที่จะผ่อนคลายอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีบางอย่าง เช่น การลดความยุ่งยากในการจดทะเบียนอาหารฮาลาลและโรงงานผลิตอาหาร รวมถึงการซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 30 ลำ และการยกเลิกคำสั่งห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการ เพื่อแลกกับอัตราภาษีที่ 19% แทนที่จะเป็น 25%

อย่างไรก็ตาม มาเลเซียปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในการยกเว้นภาษีแบบครอบคลุม โดยมาเลเซียไม่ยอมยกเลิกภาษีสำหรับรถยนต์ ยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังไม่ยอมผ่อนคลายเรื่องการถือครองหุ้นของต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อรักษาพื้นที่แข่งขันสำหรับผู้ประกอบการท้องถิ่น

เจียมองว่า มาเลเซียมีอำนาจต่อรองมากกว่าอินโดนีเซีย เนื่องจากมาเลเซียมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้สหรัฐฯ หาตลาดมาทดแทนได้ยากในระยะสั้น โดยการบรรจุและทดสอบไมโครชิปประมาณ 10% ของโลกอยู่ที่มาเลเซีย อีกทั้งประมาณ 20% ของเซมิคอนดักเตอร์ที่สหรัฐฯ นำเข้านั้นมาจากมาเลเซีย ในทางกลับกัน สินค้าส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหรัฐฯ เช่น เสื้อผ้า อิเล็กทรอนิกส์ และน้ำมันปาล์ม มีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์น้อยกว่า จึงทำให้อินโดฯ มีอำนาจต่อรองน้อยกว่า

ไทยยอมเปิดตลาด แต่ยืนยันปกป้องเกษตรกร สำหรับประเทศไทย เพื่อลดอัตราภาษีจาก 36% ลงมาอยู่ที่ 19% รัฐบาลไทยตกลงที่จะยกเลิกภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ มากกว่า 10,000 รายการ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ จากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ และให้คำมั่นว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์พลังงาน และอากาศยานจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ ไทยยังเสนอลดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 70% ภายใน 5 ปี ยังไม่รวมไปถึงอุปสรรคทางการค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษี ตลอดจนการลงทุนต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้ยกเลิกภาษีสำหรับสินค้าที่อ่อนไหวหรือสินค้าที่จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ โดยถึงแม้มีการขยายโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลือง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศ แต่ไทยยังคงภาษีเดิมไว้กับสินค้าสำคัญ เช่น ข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป และอุตสาหกรรมอาหารที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง เพื่อปกป้องเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ

แนวทางรับมือร่วมกันในอนาคต แม้หลายประเทศจะได้ลดภาษีลงมาจากเดิม แต่ถึงกระนั้นอาเซียนยังจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการหาตลาดใหม่ หรือกระชับความสัมพันธ์กับตลาดเดิมที่มีอยู่ เพื่อชดเชยการสูญเสียโอกาสในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ได้เสนอแนะ 6 แนวทางสำหรับอาเซียนในการรับมือภาษีสหรัฐฯ ร่วมกัน ดังนี้

1. เพิ่มการค้าภายในอาเซียน: เสริมสร้างการค้าระหว่างประเทศสมาชิกด้วยการประสานระเบียบข้อบังคับและลดภาษี เพื่อสร้างตลาดภายในที่แข็งแกร่งและลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก

2. ใช้อำนาจเจรจาต่อรองร่วมกัน: การรวมกลุ่มกันจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับคู่ค้าภายนอกและส่งเสริมการค้าระหว่างภูมิภาค ESCAP ชี้ว่าหากอาเซียนเจรจาร่วมกันกับสหรัฐฯ จะมีโอกาสได้รับเงื่อนไขทางการค้าที่ดีกว่าการทำข้อตกลงทวิภาคี

3. รวมกลุ่มกับจีน: เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างใช้มาตรการภาษีต่อกัน จึงเป็นโอกาสที่อาเซียนจะสามารถเจาะตลาดจีนได้ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่สหรัฐฯ อาจถูกแทนที่ พร้อมไปกับการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับจีนทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค

4. กระจายตลาด: มุ่งเน้นประเทศที่มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับอาเซียนอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการส่งออกในตลาดเหล่านั้น เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (EU) กลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (Mercosur) และเอเชียกลาง ควบคู่ไปกับการสำรวจในการทำข้อตกลง FTA ใหม่ ๆ กับเศรษฐกิจเกิดใหม่นอกเหนือจากคู่ค้าเดิม

5. ขยายการค้าในภาคบริการ: อาเซียนควรเจรจาข้อผูกพันเพิ่มเติมกับคู่เจรจาหลัก (ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้) เพื่อเปิดตลาดใหม่สำหรับผู้ให้บริการของอาเซียน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

6. ใช้นโยบายดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค: เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของอาเซียนต่อมาตรการภาษีสหรัฐฯ อาเซียนควรเพิ่มความเป็นอิสระของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคโดยการลงทุนในเครือข่ายการผลิตและกลุ่มอุตสาหกรรมภายในอาเซียนเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเพิ่มมูลค่าการผลิตภายในภูมิภาค

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

โปรแกรมกีฬาวันนี้ พร้อมช่องถ่ายทอดสด วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม 2568

21 นาทีที่แล้ว

บริษัทกำจัดขยะอวกาศจากญี่ปุ่นได้รับสิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกา

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ประวัติ CORTIS บอยกรุ๊ปวงใหม่ของ BIGHIT ในรอบ 6 ปี ปักเดบิวต์ 18 สิงหานี้

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รู้จัก"ไข้มาลาเรีย" โรคร้ายที่มาจากยุงก้นปล่อง ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งปลอดภัย

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

แบลคมอร์สผนึกร้านยาทั่วไทยขยายตลาดผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน

ฐานเศรษฐกิจ

ซีพี ออลล์ - เซเว่น อีเลฟเว่น เดินหน้าปั้นบุคลากร AI ทั้งในและนอกองค์กร

ฐานเศรษฐกิจ

มารวยฯ เปิดม่าน “มหกรรมบ้านมารวย” ยิ่งใหญ่กลางโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ฉะเชิงเทรา พร้อมโปรแรง

Manager Online

สรวงศ์ ยันไทยต้องมีทูมอร์โรว์แลนด์ คาดจัดที่ ‘วัลเลย์ เมืองพัทยา’ ททท. วอนสังคมเห็นใจ

MATICHON ONLINE

เช็คที่นี่! ร้านอาหารแข่งดุช่วง “วันแม่” อัดโปร-การตลาด กระตุ้นการจับจ่าย

ฐานเศรษฐกิจ

เริ่มพรุ่งนี้ ทรัมป์เก็บภาษีตอบโต้ไทยวันแรก สินค้านำเข้า ส่งออกโดนกี่เปอร์เซ็นต์ เช็กที่นี่

เดลินิวส์

‘ร้านสะดวกซัก’ ธุรกิจดาวรุ่งยังน่าลงทุน ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้หรือไม่

SMART SME

“ท็อปส์”ยันสต็อกสินค้าพอช่วงสู้รบ

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

"คลัง" เปิดรายละเอียด งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.8 หมื่นล้าน ช่วยเพิ่มกำลังแข่งขัน หนุนกยศ.พัฒนาทุนมนุษย์

TNN ช่อง16

"กอบศักดิ์" เตือนอย่าประมาท "ภาษีทรัมป์" แข่งขันได้แต่เสี่ยงปัญหา แนะลดดอกเบี้ย-อุดหนุน SME

TNN ช่อง16

รัฐบาลไทยเร่งล้างบาง “สินค้าสวมสิทธิ์” เตรียมออกแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯบรรลุดีล

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...