‘ร้านสะดวกซัก’ ธุรกิจดาวรุ่งยังน่าลงทุน ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้หรือไม่
‘ร้านสะดวกซัก’ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจกับการลงทุนเป็นเจ้าของ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะผู้คนในสังคมเมือง และวัยทำงาน ที่อยู่ตามคอนโดมิเนียม ตลอดนักศึกษาที่อาศัยตามหอพัก ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด
ตลาดร้านสะดวกซักในประเทศไทย เติบโตอย่างรวดเร็ว และทะยานพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากสถิติในปี 2565 ที่มีมูลค่าอยู่ประมาณ 7,000-10,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 มีการประเมินว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 13,500-16,000 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้ยังสะท้อนให้เห็นว่านี่ยังคงเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่ยังคงน่าจับตามองในยุคปัจจุบัน
ในเรื่องของการลงทุน ธุรกิจนี้มีศักยภาพสร้างรายได้แบบ Passive Income โดยสามารถบริหารจัดการด้วยตนเองผ่านระบบอัตโนมัติ มีรายได้เข้ามาต่อเนื่องแบบไม่ต้องอยู่ที่ร้าน และไม่ต้องใช้พนักงานดูแลร้าน เพราะลูกค้าทำเองได้ทั้งหมด เข้าใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
การวิเคราะห์ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
- การลงทุนที่ค่อนข้างสูง: การลงทุนเปิดร้านสะดวกซัก โดยเฉพาะในรูปแบบแฟรนไชส์ อาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นค่อนข้างสูง (หลักล้านบาท) รวมถึงค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร ซึ่งอาจต้องใช้เวลาคืนทุน 3-5 ปี
- การแข่งขันที่รุนแรง: การเติบโตของตลาดทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการแข่งขันด้านทำเลที่ตั้งและราคา ผู้ประกอบการจึงต้องสร้างจุดเด่นและความแตกต่างให้กับร้านของตนเอง
- ปัญหาจากการบริหารจัดการ: แม้จะเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องเฝ้าร้านตลอดเวลา แต่ยังต้องมีการบริหารจัดการในด้านต่างๆ เช่น การทำความสะอาดร้าน การดูแลเครื่องจักร การเติมน้ำยาซักผ้า หรือการจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น เครื่องเสียหรือลูกค้ามีข้อสงสัย
- ความเสี่ยงด้านทำเล: ทำเลที่ตั้งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด หากเลือกทำเลที่มีคู่แข่งเยอะหรือไม่มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน อาจส่งผลให้ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ
ปัจจัยสู่ความสำเร็จในธุรกิจร้านสะดวกซัก
- เลือกทำเลที่เหมาะสม: ควรเป็นย่านชุมชนหนาแน่น, หอพัก, อพาร์ตเมนต์ หรือคอนโดมิเนียมที่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน
- สร้างความแตกต่าง: ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านที่สวยงามน่าใช้บริการ, การเพิ่มบริการเสริม (เช่น ตู้กดน้ำอัตโนมัติ, Wi-Fi ฟรี), หรือการใช้เครื่องซักผ้าที่มีนวัตกรรมเฉพาะ
- การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: ใช้โซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่น หรือสร้างแคมเปญต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า
- การบริหารจัดการที่เป็นระบบ: การดูแลความสะอาดของร้าน การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ
- การเลือกแบรนด์แฟรนไชส์ที่น่าเชื่อถือ: หากตัดสินใจลงทุนแบบแฟรนไชส์ ควรศึกษาข้อมูลของแต่ละแบรนด์อย่างละเอียด ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่าย ระบบการจัดการ และการสนับสนุนจากบริษัทแม่
สำหรับแบรนด์ร้านสะดวกซักยอดนิยม ได้แก่
Dr. Tiger Laundry
แบรนด์ที่เน้นการนำเสนอร้านสะดวกซักในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยใช้เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมที่มีระบบรังสี UV เพื่อกำจัดเชื้อโรค มีระบบจ่ายน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มในตัว ทำให้ลูกค้าไม่ต้องพกพามาเอง
LG Laundry Lux
เป็นการนำแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง LG มาต่อยอดเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักในระดับสากล โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
WASHENJOY
แฟรนไชส์จากประเทศเกาหลีที่ชูความเป็น “ร้านสะดวกซักพรีเมียมอันดับ 1 ในเอเชีย” โดยเน้นการใช้เครื่องจักรคุณภาพสูงจาก Electrolux Professional ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและประหยัดพลังงาน
Speed Queen by VJ Group
แบรนด์เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของโลกจากสหรัฐอเมริกา โดย VJ Group เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งเน้นการนำเสนอ “โซลูชันธุรกิจ” ครบวงจรมากกว่าแค่การขายแฟรนไชส์
แต่ละแบรนด์ต่างก็มีจุดแข็งที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ความทนทานของเครื่องจักร หรือรูปแบบการลงทุน ดังนั้นการตัดสินใจลงทุนจึงควรพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้
พบกับแบรนด์เครื่องซักผ้าที่งาน Smart SME Expo 2025 จัดที่ Hall 7-8 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี วันที่ 7–10 สิงหาคม 68 เวลา 10:00–20:00 น.
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ