กนอ. จับมือ บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท ปั้น ‘นิคมอุตสาหกรรมบางปะกง’ มุ่งดัน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตั้งฐานการผลิตระยะยาวบน EEC
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับบริษัท บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด ลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง พื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.55 ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มูลค่าลงทุนโครงการรวมมากกว่า 6,200 ล้านบาท ตั้งเป้าผลักดันภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน กระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ รวมถึงสร้างโอกาสด้านการจ้างงาน พร้อมรองรับ 7 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มเกษตรและผลผลิตทางการเกษตร, กลุ่มเครื่องจักร ยานยนต์และระบบอัตโนมัติ, กลุ่มอุตสาหกรรมเบา, กลุ่มโลหะและวัสดุ, กลุ่มกิจการบริหารและสาธารณูปโภค, กลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติกและกระดาษ และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมถึงกลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล อาทิ ดาต้า เซ็นเตอร์, เทคโนโลยีคลาวด์
ทั้งนี้ บริษัท บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด เป็นกิจการร่วมค้าของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เรือธงแห่งเครือ บมจ.มั่นคงเคหะการ ผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาและบริหารโครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (Bangkok Free Trade Zone: BFTZ) และ บริษัทเทอร์เทิล3 จำกัด บริษัทลูกของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวแสดงความยินดีในพิธีร่วมลงนามระหว่างกนอ. กับบริษัทบางปะกงอินดัสเทรียลเอสเตทจำกัดในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางปะกงซึ่งจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่79ภายใต้การกำกับดูแลของกนอ. “ทาง กนอ. เล็งเห็นถึงศักยภาพของโครงการนิคมอุตสาหกรรมบางปะกง ที่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ รวมถึงประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึกของบริษัทฯ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพื้นที่เชิงอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน เชื่อมั่นว่านิคมฯ แห่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยขับเคลื่อนอนาคตเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไป”
ด้าน นางนิภารุกขมธุร์รองผู้ว่าการ(ยุทธศาสตร์) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมบางปะกง บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.55 ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยระบบสาธารณูปโภคครบครัน โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสำหรับภาคอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โครงการนี้ยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ในการเร่งเครื่องเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลดีต่อการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนยกระดับเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค”
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า“ความร่วมมือนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพภายใต้แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศหรือEco-Industrial Estateที่มุ่งยกระดับศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยโดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างสมดุลเรารู้สึกยินดีที่จะได้นำเอาองค์ความรู้และประสบการณ์กว่า15ปีในฐานะเบอร์1แห่งวงการพัฒนาและบริหารพื้นที่เชิงอุตสาหกรรมบนพื้นที่Free Zoneมาต่อยอดในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกงเพื่อรองรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งข้อมูลการขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568สะท้อนถึงความโดดเด่นของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคทั้งในด้านยานยนต์เซมิคอนดักเตอร์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลโดยเรามุ่งหวังให้นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เป็นพื้นที่แห่งโอกาสที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อีโคซิสเต็มอุตสาหกรรมไทยและผลักดันให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศรวมถึงชุมชนสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง”
นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กรรมการ บริษัท บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด กล่าวว่า“โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกงนับเป็นบทพิสูจน์ว่าแม้ในยามเศรษฐกิจโลกและไทยมีความท้าทายพื้นที่แห่งการเติบโตยังคงมีอยู่เสมอบนรากฐานแห่งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเราภูมิใจที่จะเดินหน้าต่อยอดศักยภาพของพันธมิตรผู้ประกอบการมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐเอกชนและสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านเศรษฐกิจและการลงทุนส่งเสริมการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับห่วงโซ่อุปทานโดยเฉพาะในพื้นที่EECแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก”
ขณะเดียวกัน นิคมอุตสาหกรรมบางปะกง ยังมีจุดเด่นด้านทำเลยุทธศาสตร์ พื้นที่โครงการอยู่ใกล้กับถนนบางนา-ตราด เพียง 300 เมตร ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประมาณ 53.6 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบัง ประมาณ 54.5 กิโลเมตร และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ประมาณ 104 กิโลเมตร ทำให้ผู้ประกอบการมีความได้เปรียบทางด้านการขนส่ง อันเป็นปัจจัยสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
คาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ในการพัฒนาที่ดิน ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2570 โดยแบ่งสัดส่วนการพัฒนาพื้นที่ออกเป็น ที่ดินสำหรับขายประมาณ 680 ไร่ และส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค พื้นที่สีเขียวและแนวกันชนเชิงนิเวศ เมื่อเปิดดำเนินการแล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 2,151 คน