SVI กำไร Q2/68 ทรุด 84% เหลือ 91 ล้านบาท พร้อมแต่งตั้ง “กริช ลี้ถาวร” เป็น MD คนใหม่
SVI กำไร Q2/68 ทรุด 84% เหลือ 91 ล้านบาท พร้อมแต่งตั้ง “กริช ลี้ถาวร” เป็น MD คนใหม่
#ทันหุ้น #SVI สรุปประเด็นหลัก (Key Takeaways):
กำไรสุทธิทรุดตัวรุนแรง: กำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 91 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 84.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 36.4% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
อัตรากำไรขั้นต้นถูกกดดันหนัก: อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ลดลงเหลือเพียง 6.2% จาก 11.9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 7.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากการแข็งค่าของเงินบาท และฐานที่สูงเป็นพิเศษในปี 2567
รายได้ฟื้นตัวเล็กน้อย QoQ: รายได้รวมอยู่ที่ 4,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% (QoQ) แต่ยังคงลดลง 27.6% (YoY) สะท้อนว่าความต้องการซื้อเริ่มกลับมา แต่ยังไม่แข็งแกร่งเท่าปีก่อน
เปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งใหญ่: บริษัทประกาศการลาออกของ นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร จากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และแต่งตั้ง นายกริช ลี้ถาวร ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ (MD) คนใหม่ โดยมีผลทันที
ฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง: แม้กำไรจะลดลง แต่บริษัทยังรักษาฐานะทางการเงินได้ดี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.19 เท่า
เจาะลึกผลการดำเนินงาน SVI ไตรมาส 2/2568: กำไรดิ่งหนักท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านแม่ทัพ
บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ซึ่งเผยให้เห็นภาพความท้าทายที่รุนแรงจากปัจจัยมหภาค โดยเฉพาะผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ส่งผลให้กำไรสุทธิหดตัวลงอย่างรุนแรง สวนทางกับความเชื่อมั่นของฝ่ายบริหารต่อแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี และเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กร
กำไรทรุดตัวรุนแรง: ผลพวงจากมาร์จิ้นที่ถูกบีบอัด
ไฮไลท์สำคัญที่สุดของผลประกอบการไตรมาสนี้ คือการหดตัวของความสามารถในการทำกำไรในทุกระดับ โดยบริษัทมี กำไรสุทธิเพียง 91 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงถึง 84.3% จากกำไรสุทธิ 578 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ต้นตอของปัญหามาจาก อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ถูกบีบอัดอย่างหนัก โดยลดลงมาอยู่ที่ 6.2% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 7.9% ในไตรมาสก่อนหน้าอย่างชัดเจน และทรุดตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับระดับ 11.9% ในไตรมาส 2 ปี 2567 ฝ่ายบริหารชี้แจงว่าปัจจัยหลักมีสองประการคือ:
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน: ในปี 2567 โดยเฉพาะครึ่งปีแรก บริษัทได้รับอานิสงส์อย่างมากจากภาวะเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งช่วยหนุนอัตรากำไรให้สูงเป็นพิเศษ ในทางตรงกันข้าม ปี 2568 เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรเมื่อแปลงเป็นสกุลเงินบาท
ฐานที่สูงจากคำสั่งซื้อพิเศษ: ในปี 2567 บริษัทมีคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ไม่มีในปีนี้ ทำให้การเปรียบเทียบแบบปีต่อปีมีความท้าทายอย่างยิ่ง
การหดตัวของอัตรากำไรขั้นต้นนี้ได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ลงมายังบรรทัดล่าง โดย กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ดิ่งลง 87.1% (YoY) เหลือเพียง 64 ล้านบาท สะท้อนถึงแรงกดดันจากต้นทุนคงที่ท่ามกลางยอดขายที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
รายได้ส่งสัญญาณฟื้นตัว แต่ยังห่างไกลจากปีก่อน
ในด้านรายได้ บริษัทมีรายได้รวม 4,300 ล้านบาท ซึ่งหากมองในภาพไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) ถือว่ามีสัญญาณเชิงบวก โดย ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6% ซึ่งฝ่ายบริหารระบุว่าได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่ต่อเนื่องในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม, ระบบควบคุมอุตสาหกรรม และไมโครอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) รายได้ยังคง ลดลงถึง 27.6% ซึ่งตอกย้ำถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงไม่แน่นอนและฐานที่สูงเป็นพิเศษในปี 2567
การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
นอกเหนือจากผลประกอบการทางการเงิน อีกหนึ่งข่าวใหญ่ที่ประกาศออกมาพร้อมกันคือการเปลี่ยนแปลงในทีมผู้บริหารระดับสูงสุด โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ได้รับทราบการลาออกของ นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร จากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2568 พร้อมกันนี้ คณะกรรมการได้อนุมัติแต่งตั้ง นายกริช ลี้ถาวร ให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ (Managing Director) คนใหม่ โดยมีผลในวันเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงแม่ทัพใหญ่ในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านผลกำไรอย่างหนัก ถือเป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง และเป็นบทพิสูจน์สำคัญสำหรับผู้บริหารคนใหม่ในการนำพาองค์กรฝ่าฟันความท้าทายและสร้างการเติบโตตามที่ฝ่ายบริหารคาดหวังไว้สำหรับครึ่งปีหลัง
ฐานะการเงินยังมั่นคง ท่ามกลางการบริหารเงินทุนหมุนเวียน
แม้ผลกำไรจะลดลง แต่สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.19 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0.16 เท่าในไตรมาสก่อนหน้าจากการจ่ายเงินปันผลและเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ด้านการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน บริษัทแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ โดยสามารถขยายระยะเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้การค้าจาก 80 วัน เป็น 90 วัน ซึ่งช่วยชดเชยระยะเวลาเก็บหนี้และสต็อกสินค้าที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทำให้ระดับเงินทุนหมุนเวียนโดยรวมยังคงที่
ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เป็นบทพิสูจน์ความท้าทายของ SVI อย่างแท้จริง บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันจากอัตรากำไรที่หดตัวอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากการแข็งค่าของเงินบาทและฐานเปรียบเทียบที่สูงจากปีก่อน ซึ่งบดบังการฟื้นตัวของรายได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
สถานการณ์นี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงสุดอย่างกะทันหัน ตลาดกำลังจับตามองว่ากรรมการผู้จัดการคนใหม่จะนำพากลยุทธ์ใดมาใช้เพื่อฟื้นฟูความสามารถในการทำกำไรและผลักดันให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังเป็นไปตามเป้าหมายที่ฝ่ายบริหารได้ให้ความเชื่อมั่นไว้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน