ราคาน้ำมันดิบบวกต่อเนื่อง จับตาประชุม ‘ทรัมป์–ปูติน’ และนโยบาย FED
าคาน้ำมันดิบวันนี้ปรับตัวลดลง หลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปทานน้ำมันดิบโลกปี 2568 สวนทางกับแนวโน้มอุปสงค์ที่ยังชะลอตัวจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยตลาดกังวลว่าปริมาณน้ำมันส่วนเกินอาจกดดันราคาในระยะสั้น แม้ยังมีแรงหนุนบางส่วนจากสถานการณ์ตึงตัวด้านอุปทานในบางภูมิภาค
- Brent Crude : 67.00 ดอลลาร์/บาร์เรล ▲ +0.16 (+0.2%)
- WTI : 64.10 ดอลลาร์/บาร์เรล ▲ +0.14 (+0.2%)
ราคายังทรงตัวในแดนบวก หลังตลาดจับตาปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และสัญญาณเศรษฐกิจโลก
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคา
ภูมิรัฐศาสตร์ตึงเครียด – หนุนราคาด้านอุปทาน
ก่อนการประชุม ทรัมป์–ปูติน ที่อลาสก้า ทรัมป์เตือน “จะมีผลลัพธ์” หากรัสเซียขัดขวางข้อตกลงสันติภาพยูเครน
ความเสี่ยงด้านซัพพลายจากรัสเซีย หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเก็งกำไรฝั่งขาขึ้น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นแข็งแกร่งเกินคาด – หนุนอุปสงค์น้ำมัน
GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 1.0% ต่อปี สูงกว่าคาด (0.4%)
สะท้อนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการส่งออก ซึ่งอาจเพิ่มความต้องการพลังงาน
ความกังวลดอกเบี้ยสูงในสหรัฐฯ – กดดันฝั่งดีมานด์
เงินเฟ้อและ PPI สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด
FED อาจชะลอการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอ และลดการใช้น้ำมันบางส่วน
สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
ข้อมูลจาก EIA ชี้ว่าสต็อกเพิ่ม 3 ล้านบาร์เรล
โดยปกติเป็นปัจจัยลบต่อราคา แต่ถูกกลบด้วยข่าวภูมิรัฐศาสตร์
วิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น
- Brent : มีแนวต้านสำคัญแถว 67.50–68.00 หากผ่านได้มีโอกาสทดสอบ 69 ดอลลาร์
- WTI : แนวต้านอยู่ที่ 64.50–65.00 หากยืนได้อาจกลับไปทดสอบโซน 66 ดอลลาร์
- แนวรับหลักของทั้งสองอยู่ใกล้โซน -1% จากราคาปัจจุบัน หากหลุดเสี่ยงเข้าสู่การพักฐาน
ผลกระทบต่อไทย
- ต้นทุนพลังงาน : ราคานำเข้าน้ำมันดิบสูงขึ้น อาจกดดันราคาหน้าปั๊มและต้นทุนขนส่ง
- เงินเฟ้อ : ถ้าราคาน้ำมันยืนสูงนาน อาจเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อในไตรมาส 3–4/2025
- ค่าเงินบาท : หากราคาน้ำมันสูงและดอลลาร์แข็ง อาจทำให้เงินบาทมีแรงกดดันอ่อนค่าเพิ่ม
สรุป
- ตลาดน้ำมันตอนนี้อยู่ในภาวะ ดึงเชือก ระหว่างแรงหนุนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจญี่ปุ่น กับแรงกดดันจากดอกเบี้ยสูงและสต็อกน้ำมันเพิ่ม
- การเคลื่อนไหวระยะสั้นน่าจับตาที่ ข่าวจากการประชุมทรัมป์–ปูติน และสัญญาณนโยบายจาก FED ซึ่งจะเป็นตัวชี้ทิศทางราคาหลักในสัปดาห์หน้า