‘หนี้ธุรกิจ’ น่าห่วง ‘รายเล็กเสี่ยงสูง-หนี้เสียพุ่ง ลูกหนี้ดีหดตัว หวั่นค้างชำระลามรายใหญ่
ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผย ข้อมูลล่าสุดจากฐานเครดิตบูโร สะท้อนภาพรวมปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในภาคสินเชื่อธุรกิจ
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า โดยชี้ให้เห็นว่า แม้ที่ผ่านมาลูกหนี้ธุรกิจ จะได้รับแรงหนุนจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และการบริหารจัดการเชิงรุกของสถาบันการเงินซึ่งช่วยชะลอการก่อตัวของหนี้เสีย
แต่ปัญหาที่แท้จริงกลับถูก “ยืดเวลา” มากกว่าการแก้ไขอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อยที่มีสัญญาณน่าเป็นห่วงอย่างชัดเจน
- ธุรกิจยิ่งเล็ก ความเสี่ยงยิ่งสูง
ข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ในไตรมาส 1/2568 ชี้ว่า กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉพาะ Super Micro และ Micro กำลังเผชิญภาวะหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระดับสูงมาก โดย Super Micro มี NPL สูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ขณะที่ Micro อยู่ที่ 12.11% และธุรกิจขนาดเล็กทั่วไป 9.75% ส่วนธุรกิจขนาดกลางและใหญ่มีสัดส่วน NPL ต่ำกว่ามาก (6.51% และ 1.37% ตามลำดับ)
แม้สัดส่วนหนี้ค้างชำระระยะสั้น 1–30 วัน จะปรับตัวลดลงตั้งแต่กลางปี 2567 จากผลของมาตรการปรับโครงสร้างหนี้และการดูแลเชิงรุก แต่ปัญหาพื้นฐานด้านรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ยังไม่คลี่คลาย
- อุตสาหกรรมหลักก็ไม่รอด
นายกฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโสฯ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ภาคธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ เช่น ภาคการผลิตและกลุ่มที่พักแรม กำลังเห็นสัญญาณหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันในธุรกิจขนาดใหญ่สูงที่สุด
ขณะที่ธุรกิจ SME รายเล็กเริ่มมีปัญหาหนี้เพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มค้าส่งค้าปลีกซึ่งอิงตลาดในประเทศ คุณภาพหนี้ที่เสื่อมลงในกลุ่มรายเล็กได้ขยายไปถึงธุรกิจขนาดกลางแล้ว
สำหรับธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาพลบกำลังกระจายไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่เช่นกัน ปัจจัยเสี่ยงที่ซ้ำเติมสถานการณ์ ได้แก่ การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กดดันการส่งออก และกำลังซื้อในประเทศที่ยังซบเซา ทั้งหมดนี้ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้มีแนวโน้มถดถอยต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี
- โครงสร้างคุณภาพหนี้เปลี่ยนในทางลบ
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการจัดกลุ่มบัญชีสินเชื่อธุรกิจตามพฤติกรรมชำระหนี้ย้อนหลัง 1 ปี พบว่า แม้ 95% ยังอยู่ในสถานะปกติ (Good) ที่จ่ายหนี้มาโดยตลอด และจัดอยู่ในกลุ่มสีเขียว
แต่สัดส่วนนี้กำลังทยอยลดลงหลังโควิด พื้นที่สีเขียวเริ่มลดลง ขณะที่กลุ่ม “ดีสลับแย่” (On-Off) และ “มีปัญหารุนแรง” (Distressed) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็กที่ความเปราะบางรุนแรงกว่า กลไกปรับโครงสร้างหนี้แม้ช่วยชะลอการตกชั้นสู่ NPL แต่จะได้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อเริ่มเข้าไปช่วยตั้งแต่มีสัญญาณค้างชำระแรกเริ่ม เพราะหากกลายเป็น NPL แล้ว โอกาสฟื้นตัวภายใน 1 ปีมีไม่ถึง 10%
- ข้อเสนอเพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำรอย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะให้กำหนดมาตรการช่วยเหลือตามลักษณะลูกหนี้อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น สนับสนุนการปรับเงื่อนไขชำระหนี้ชั่วคราวให้กับลูกหนี้ปกติที่เริ่มเห็นปัญหาตั้งแต่ต้น รวมถึงการเตรียมโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ เพื่อจัดการหนี้เชิงรุกก่อนจะกลายเป็น NPL
ส่วนในกรณีที่เป็น NPL แล้ว ควรเร่งกระบวนการนอกศาล เช่น การตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยลดค่าธรรมเนียมโอนทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้ฟื้นตัวเร็วขึ้น อีกทั้งควรเพิ่มช่องทางให้ลูกหนี้สามารถผ่อนซื้อสินทรัพย์รอการขายของตนเอง เพื่อให้กลับมาเป็นเจ้าของได้หากฟื้นตัวเร็ว
- เร่งรัดกระบวนการทางกฎหมาย
อีกจุดอ่อนไม่ควรมองข้ามคือ ระยะเวลาพิจารณาคดีที่ยาวนาน ซึ่งยิ่งทำให้ลูกหนี้ตกชั้นลึกลง ควรมีมาตรการเร่งรัดกระบวนการทางกฎหมายเพื่อให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้เห็นความชัดเจนเร็วขึ้น เปิดทางให้ลูกหนี้เริ่มต้นธุรกิจใหม่โดยไม่ต้องรอเป็นเวลานาน
- ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่เศรษฐกิจมหภาค
แม้มาตรการต่าง ๆ ข้างต้นจะช่วยเยียวยาระยะสั้น แต่การแก้ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพอย่างถาวรจำเป็นต้องพึ่งพาเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันและทำกำไรได้ในระยะยาว หากไม่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนธุรกิจ ปัญหาหนี้ก็มีแนวโน้มวนซ้ำและลุกลามมากขึ้นในอนาคต