เคาะแนวทางรับซื้อไฟพลังงานหมุนเวียน จี้เจรจาเอกชนลดราคาสะท้อนต้นทุน
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรมตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2566 – 2573 (การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมฯ) ดังนี้
1.โครงการพลังงานลม เนื่องจากการอ้างอิงราคาที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ดำเนินการมีราคาที่สูงกว่าอัตรา Feed-in Tariff (FiT) สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมฯ จึงให้ดำเนินการในขั้นตอนของการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่อไป และให้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) พิจารณาปรับกรอบเวลาในการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และ ขยายกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ไม่เกินปี 2573
และ 2. โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ มอบหมายให้ กกพ. กฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) และสำนักนโยบายและแผนพลังงาน( สนพ.) ดำเนินการเจรจาอัตราค่าไฟฟ้ากับผู้ประกอบการเอกชนที่ กกพ. ประกาศรายชื่อ และให้ กฟผ. พิจารณาเสนออัตราค่าไฟฟ้าสำหรับใช้เจรจาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โดยอ้างอิงราคาโครงการ Solar Floating ที่กฟผ. ได้ดำเนินการ และปรับเพิ่มสมมติฐานให้สอดคล้องกับต้นทุนการดำเนินการของภาคเอกชนให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ กพช. มีมติ และมอบหมายให้ กกพ. พิจารณาปรับเงื่อนไขสัญญาและขยาย SCOD เช่นเดียวกันกับโครงการพลังงานลมเพื่อใช้สำหรับการดำเนินการต่อไปสำหรับโครงการที่ปรับลดราคาลงตามการเจรจา ทั้งนี้ สำหรับโครงการที่ไม่ปรับลดราคาตามการเจรจาให้รายผลให้ กพช. พิจารณาต่อไป
นอกจากที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบแนวทางการลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยแบบอัตราปกติ โดยให้ชำระค่าไฟฟ้าไม่เกินอัตราค่าไฟฟ้าที่ กกพ ประกาศ เรียกเก็บตามรอบเอฟที ในแต่ละรอบโดยเริ่มตั้งแต่งวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2568 อยู่ที่หน่วยละ 3.94 บาท
ทั้งนี้ มอบหมาย สนพ. และ กกพ. พิจารณาทบทวนการกำหนดช่วงการใช้ไฟฟ้าที่จะได้รับสิทธิส่วนลดให้ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย เพื่อคงวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและลดภาระการอุดหนุนเกินจำเป็น โดยให้ สนพ. และ กกพ.พิจารณาปริมาณหน่วยการใช้ไฟฟ้าขั้นสูงสำหรับบ้านพักอาศัยที่ควรต้องชำระค่าไฟฟ้าสูงกว่าอัตราที่ กกพ.ประกาศในแต่ละรอบตั้งแต่ 400 หน่วยต่อเดือนขึ้นไป ว่าควรมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าขั้นสูงไม่เกินเดือนละกี่หน่วย และปริมาณการใช้ไฟฟ้าส่วนที่เกินปริมาณหน่วยขั้นสูงนั้นจะคิดอัตราค่าใช้ไฟฟ้าเท่าใด โดยให้นำผลการพิจารณาไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยให้ กฟภ. และ กฟน. รับไปปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไป
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้มีมติให้ กฟผ. และ กฟภ. กำหนดราคาจำหน่ายไฟฟ้าแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ตามมติ กพช. ปี 2558 อย่างเคร่งครัด และเห็นชอบแนวทางปรับปรุงราคาสำหรับสัญญาในอนาคต เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศและเป็นธรรมต่อประชาชนในประเทศ โดยกำหนดชัดเจนว่าราคาจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาที่จำหน่ายให้ประชาชนภายในประเทศ ทั้งนี้ กพช. ยังได้มอบหมายให้ กฟผ. และ กฟภ. ร่วมกันศึกษาแนวทางการกำหนดราคาที่เหมาะสม และนำเสนอต่อ กพช. ต่อไป
อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ การขยายอายุการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมน้ำพอง ชุดที่ 1 และ 2 ออกไปอีก 6 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2574 เพื่อให้สอดคล้องกับอายุสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ และรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ การขยายอายุการเดินเครื่องครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสุทธิได้ประมาณ 28,358 ล้านบาทตลอดระยะเวลา 6 ปี อีกทั้งยังเป็นการใช้ทรัพยากรภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเรื่องดังกล่าวบรรจุในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ตามขั้นตอนต่อไป
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้เห็นชอบ แนวทางบริหารจัดการโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เพื่อทดแทนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8–9 โดยกำหนดให้ 1. เลื่อนแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 8 และ 11 จากวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2574 หรือจนกว่าการปรับปรุงเครื่องที่ 12 และ 13 จะแล้วเสร็จ (ประมาณปี 2574)
และ 2. ดำเนินการปรับปรุงโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 12 และ 13 พร้อมเลื่อนแผนการปลดออกไปจนถึงปี 2591 โดยจะหยุดเดินเครื่องชั่วคราว (ไม่จ่ายไฟเข้าระบบ) ระหว่างการปรับปรุงในช่วงปี 2569–2574 แนวทางนี้จะช่วยลดการลงทุน ใช้ทรัพยากรภายในประเทศอย่างคุ้มค่า ลดการนำเข้า Spot LNG และลดผลกระทบค่าไฟฟ้าต่อประชาชน โดยคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ(เอฟที) ได้ประมาณ 3.67 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่าลดลง 9,566 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ กฟผ. เสนอเรื่องขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8–9 พร้อมทั้งมอบหมายให้ สนพ. บรรจุแนวทางดังกล่าวไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ต่อไป
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้ติดตามความคืบหน้าประเด็นการแยกศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator: SO) ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กพช. เคยมีมติให้แยก SO ออกมาเป็นนิติบุคคลใหม่ที่เป็นอิสระจาก กฟผ. อย่างไรก็ตาม พบว่า SO ภายใต้ กฟผ. (Ring Fenced) เหมาะสมกับโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยในรูปแบบ ESB (Enhance Single Buyer) และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการระบบไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาความมั่นคง ที่ประชุมจึงมีมติ ยกเลิกมติเดิมของ กพช. เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ให้แยก SO เป็นนิติบุคคลออกจาก กฟผ. และที่ประชุมยังได้มีมติ รับทราบผลโครงการนำร่อง Demand Response (DR) ปี 2565–2566 และมีมติเห็นชอบแนวทางพัฒนามาตรการ DR ดังนี้
1. ให้ดำเนินโครงการ DR ต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เข้าร่วม และพัฒนาไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์ในอนาคต โดย DR จะช่วยลดการสร้างหรือเดินเครื่องโรงไฟฟ้าในบางช่วง ลดการนำเข้า LNG และสอดคล้องกับแผน PDP ฉบับใหม่
2. ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข อัตราค่าตอบแทน และติดตามผลการดำเนินงาน โดยอัตราค่าตอบแทนต้องไม่สูงกว่าต้นทุนโรงไฟฟ้าหรือไฟฟ้าจาก LNG เพื่อช่วยลดค่าไฟโดยรวมของประเทศ
และ 3. มอบหมายให้ กบง. .ดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการสั่งเรียกมาตรการ DR ตามเป้าหมายตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ และมอบหมายคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน บรรจุค่าใช้จ่ายผลตอบแทน DR ตามเป้าหมายรายปีในแผน PDP ฉบับใหม่เข้าในค่าไฟฟ้าฐานต่อไป
อย่างไรก็ตามได้มีการรายงานกพช.ได้รับทราบการดำเนินการตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 การบริหารจัดการ Pool Gas ของประเทศ (Pool Manager) ว่าได้ดำเนินการแยก Pool manager เป็นอิสระจาก บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) (Ring Fenced) แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องแยก Pool manager เป็นนิติบุคคล