รวบ“หนุ่มเกาหลี” คาสนามบิน เครือข่ายแก๊งคอลฯ
พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. สั่งการให้ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.ชัยเวง พาด้วง พ.ต.ท.จักรพงษ์ รุ่งกำจัด สว.กก.2 บก.ปอท. นำกำลังจับ นายฮัน อายุ 33 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 822/2568 ลงวันที่ 6 ก.พ. 2568 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่” ได้บริเวณช่องผู้โดยสารขาเข้า สนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีผู้เสียหายที่ต้องการหารายได้พิเศษสมัครงานออนไลน์ เป็นงานกดไลก์เพิ่มยอดติดตามต่างๆ ก่อนถูกชักชวนให้ทำกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่ต้องนำเงินมาลงทุนก่อน อ้างมีผลตอบแทนประมาณ 30%-50% ผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงินไปร่วมลงทุน ช่วงแรก ๆ ก็ให้ผลตอบแทนจริง จากนั้นผู้เสียหายนำเงินไปลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ จนภายหลังผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินออกมาจากระบบได้ คนร้ายให้เหตุผลว่าไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด เมื่อผู้เสียหายรู้ว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความที่ บก.ปอท. ก่อนมีการจับกลุ่มผู้ต้องหาได้ 10 ราย ได้แก่ ผู้ทำหน้าที่ฟอกเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 5 ราย และเจ้าของบัญชีม้า จำนวน 5 ราย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ร่วมกับ บก.ตม. สืบทราบว่าทราบว่านายฮัน ผู้ต้องรายนี้ จะเดินทางเข้าประเทศไทย โดยเที่ยวบินจากประเทศเกาหลีใต้มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงร่วมกันวางแผนเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาขณะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง พร้อมตรวจยึดของกลาง คือ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง ภายในมีข้อมูลบัญชีคริปโต แพลตฟอร์มต่างๆ จำนวนหลายบัญชี และหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินด้วย
สอบสวน ผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับในข้อเท็จจริง ว่า เคยไปศึกษาที่ประเทศจีน เป็นเวลา 6 ปี ก่อนกลับมาทำงานบริษัทในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งรับฟอกเงินดิจิทัลสกุลต่างๆ เป็นทองคำแท่ง ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยผู้ต้องหามีหน้าที่เปิดบัญชีคริปโตแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ใช้รับเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังจากนั้นบริษัทของผู้ต้องหาจะติดต่อหาซื้อทองคำแท่งจากบริษัทต่างๆ ในต่างประเทศ และนำส่งกลับไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์
จากการตรวจสอบยังพบว่าการฟอกคริปโตเป็นทองคำแท่งแต่ละครั้ง มีน้ำหนักทองไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัม หรือ ประมาณ 33 ล้านบาท และจากการตรวจสอบบัญชีคริปโตของผู้ต้องหา พบด้วยว่าตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2567 มีการรับเงินดิจิทัลสกุลต่างๆ มูลค่าประมาณ 47,300,000 USDT หรือ ประมาณ 1,650 ล้านบาท เชื่อว่าเงินจำนวนนี้ถูกนำมาฟอกเป็นทองคำแท่งให้แก่แก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกด้วย