รู้จักกลไก Negative Income Tax ระบบสวัสดิการใหม่ ที่ทุกคนต้องยื่นภาษี? วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ใครควรได้รับเงินโอนบ้าง?
Negative Income Tax (NIT) เริ่มกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังจาก ‘ลวรณ แสงสนิท’ ปลัดกระทรวงการคลัง ประกาศว่า กระทรวงการคลังจะนำนโยบายนี้มาใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2570
“แนวคิดของ Negative Income Tax คือ หากรายได้ถึงเกณฑ์ต้องมาเสียภาษี แต่หากมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็มารับสวัสดิการ ดังนั้นทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ผู้มีรายได้น้อยก็ต้องยื่นเพื่อยืนยันว่ามีรายได้น้อยจริงๆ เราตั้งเป้าว่าปี 2570 จะเริ่มใช้ได้จริง ตอนนี้ก็กำลังเดินหน้าพัฒนาระบบต่างๆ อยู่” ลวรณ ระบุ
Negative Income Tax คืออะไร
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ ‘สภาพัฒน์’ อธิบายว่า “Negative Income Tax เป็นกลไกให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และเป็นการรวมระบบการให้ความช่วยเหลือไว้ในระบบเดียว ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้รูปแบบหนึ่ง”
Negative Income Tax มาจากไหน
นโยบาย Negative Income Tax ไม่ใช่เรื่องใหม่ในไทย เนื่องจากมีศึกษาและนำเสนอ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ตั้งแต่ปี 2557 แล้ว และ Negative Income Tax ยังถูกระบุไว้ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564 และ 2565) ในหน้า 85 ไว้แล้วด้วย
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ระบุว่า “ผู้มีงานทำในระบบที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีมีการยื่นแบบเพื่อชำระภาษีที่ถูกต้องและครบถ้วน โดยควรเร่งรัดการใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐเพื่อการเข้าถึงข้อมูลของผู้เสียภาษีทั้งบุคคลและผู้ประกอบการที่ได้มีการลงทะเบียนในฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ และเร่งรัดระบบการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในลักษณะที่เป็นการให้ความช่วยเหลือทางตรง (Negative Income Tax) ซึ่งเป็นการคัดกรองเป้าหมายผู้ได้รับการช่วยเหลือโดยใช้ระดับรายได้เป็นตัวกำหนด”
นอกจากนี้ ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน Dinner Talk: Vision for Thailand 2024 ของเครือเนชั่นว่า กระทรวงการคลังต้องการปรับระบบภาษีให้เป็นธรรมมากขึ้น จึงพยายามผลักดัน Negative Income Tax โดยอยากเห็นคนไทยทุกคน ‘ยื่นแบบ’ เพื่อให้ภาษีกลับคืนไปยังคนรายได้ต่ำ
โดยในคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อ 12 กันยายน 2567 ก็ระบุว่า “รัฐบาลจะเปลี่ยนโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ ดึงแรงงานนอกระบบที่มีอยู่มากกว่า 50% เข้าสู่ระบบ ศึกษาความเป็นไปได้ของการปฏิรูประบบภาษีไปสู่แบบ Negative Income Tax ซึ่งผู้มีรายได้น้อยจะได้รับ ‘เงินภาษีคืนเป็นขั้นบันได’ ตามเกณฑ์ที่กำหนด”
นอกจากนี้ เมื่อวัน 15 สิงหาคมที่ผ่านมา แพรทองธาร ยังโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เพื่อย้ำถึงความตั้งใจว่า “ยื่นภาษี ลดเหลื่อมล้ำรัฐบาลผุดนโยบาย Negative Income Tax ปฏิรูประบบภาษีบุคคล ช่วยคนจนจัดสรรสวัสดิการ”
Negative Income Tax แปลเป็นไทยว่าอะไรได้บ้าง
Negative Income Tax อาจฟังดูเป็น ‘เรื่องยาก’ และ ‘ไกลตัวประชาชน’ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Negative Income Tax ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยไว้หลายครั้ง ตัวอย่างเช่น
- ‘ภาษีเงินได้แบบติดลบ’ โดยสภาพัฒน์
- ‘เงินโอน แก้จน คนขยัน’ โดยดร. ปัณณ์ อนันอภิบุตร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่เคยตั้งชื่อนี้ไว้ในบทความเสนอในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เมื่อปี 2557 ร่วมกับผู้เขียนอื่น ๆ
- ‘เงินโอน คนสร้างตัว’ โดยพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า นโยบายนี้จะทำให้ผู้มีรายได้น้อยเกินกว่าจะดำรงชีพ จะได้รับเงินภาษีแทนการจ่ายเงินภาษี ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนทำงานเข้ามาในระบบและมีโอกาสพัฒนาสร้างตัวเองไปด้วย
รู้จักกลไก: ทำไมจึงเปรียบ Negative Income Tax เป็น ‘เงินโอน’
มาตรการ NIT ถือเป็นการจัดสวัสดิการที่จัดสรรผ่านระบบภาษีอากร ภายใต้เงื่อนไขว่า ผู้ที่อยู่ในมาตรการ NIT จะต้องทำงาน โดยต้องมีรายได้เนื่องจากการทำงานและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับผู้เสียภาษีในระบบ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นผู้มีรายได้น้อยที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือตามสมควรจริงๆ
โดยปกติแล้ว อัตราการได้รับเงินโอนจากรัฐบาลจะแบ่งได้เป็น 3 ช่วงรายได้ ได้แก่
- ช่วงจูงใจได้เงินโอนเพิ่มขึ้น (Phase-in) ผู้มีเงินได้ในช่วงนี้จะได้รับเงินสมทบจากภาครัฐเพิ่มขึ้น เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ทำงานและสร้างรายได้ให้ตนเองมากขึ้น
- ช่วงได้เงินโอนคงที่ (Plateau) เป็นช่วงที่จะได้รับเงินโอนคงที่
- ช่วงเงินโอนลดลง (Phase-out) เป็นช่วงที่ผู้มีเงินได้เริ่มมีรายได้เพียงพอในระดับหนึ่ง ภาครัฐจึงช่วยเหลือในอัตราที่ลดลง จนกระทั่งผู้มีเงินได้มีรายได้ถึงเกณฑ์ภาครัฐก็จะหยุดการให้เงินโอนช่วยเหลือ
เปิดข้อเสนอ NIT สำหรับไทย: ใครควรเป็นกลุ่มเป้าหมาย
ดร. ปัณณ์ อนันอภิบุตร ผู้อำนวยการกองนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยกล่าวว่า จากข้อแนะนำที่เคยเสนอไปมองว่า ควรจำกัดกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับสวัสดิการนี้มุ่งไปที่ผู้อยู่ใต้เส้นความยากจน ซึ่งจะมีรายได้อยู่ที่ราว 30,000 – 40,000 บาทต่อปี และไปสิ้นสุดที่ผู้ที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ซึ่งอยู่ที่ราว 80,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ เส้นความยากจน (Poverty Line) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับความยากจนของคนในประเทศไทยของสภาพัฒน์ พิจารณาจากรายได้ต่อเดือนของบุคคล หากรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จะถือว่าเป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ อยู่ที่ 3,043 บาท/คน/เดือน (ในปี 2566) หรือมีรายได้ทั้งปีต่ำกว่าหรือเท่ากับ 36,516 บาท/คน/ปี
โดยในช่วง Phase-in อัตราเงินโอนอยู่ที่ 20% ของรายได้ โดยเพิ่มเรื่อยๆ ตั้งแต่รายได้ 0 บาทต่อปี จนกระทั่งถึงจุดสูงสุดที่รายได้ 30,000 บาทต่อปี
ส่วนผู้ที่มีเงินได้ 30,000 – 40,000 บาทต่อปี จะอยู่ในช่วง Plateau ซึ่งจะได้เงินโอนคงที่ ในอัตรา 20% ของรายได้
ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่ผู้นั้นยังเป็นคนจน และเมื่อผู้นั้นมีรายได้พ้นจากระดับความยากจนแล้ว รัฐบาลจะลดความช่วยเหลือลง
ช่วง Phase-out: เงินโอนจะลดลง โดยจะไปสิ้นสุดที่ระดับรายได้ 80,000 บาทต่อปี ก็จะหยุดจ่ายเงินโอน ซึ่งเชื่อมโยงกับค่าแรงขั้นต่ำ
เริ่มใช้ Negative Income Tax ทุกคนต้องยื่นแบบหรือไม่
ดร. ปัณณ์ เสนอว่า ผู้ที่ต้องการรับสวัสดิการเงินโอน NIT นี้ ควรต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องยื่นแบบตามกฎหมายก็ตาม เนื่องจาก ยื่นแบบฯ จะทำให้รัฐสามารถทราบรายได้ของผู้มีเงินได้ได้ และหากมีกรณีที่สงสัยถึงความถูกต้องของรายการเงินได้ รัฐก็จะมีแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอันเป็นหลักฐานที่ทำให้รัฐสามารถตรวจสอบข้อมูลทางการเงินได้สะดวกมากขึ้น
กระนั้น ดร. ปัณณ์ ยังยืนยันว่า การยื่นแบบสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ควรเป็นรูปแบบ (Form) ‘อย่างง่าย’ ในกระดาษ 1 แผ่น
ทั้งนี้ ตามกฎหมายปัจจุบัน ระบุว่า ผู้มีเงินได้พึงประเมินขั้นต่ำ (ต่อปี) ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีนั้นๆ สำหรับคนโสดมีเงินได้เงินเดือนประเภทเดียว เกิน 120,000 บาท (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.91) และมีเงินได้ประเภทอื่นนอกจากเงินเดือน เกิน 60,000 บาท (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90)
เปิดข้อดี – เสีย Negative Income Tax vs. สวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบัน
รศ. ดร. อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า ระบบสวัสดิการปัจจุบัน และ Negative Income Tax มีข้อดี – ข้อเสียต่างกัน
โดยระบบสวัสดิการปัจจุบันมีข้อดีคือ ‘ทำง่าย’ โดยรัฐสามารถคัดกรองคนตามเงื่อนไขต่างๆ เข้ามา แล้วจัดให้สวัสดิการให้ทั้งในรูปเงินช่วยเหลือและสิ่งของอื่นๆ (In-kind) อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของระบบสวัสดิการปัจจุบัน คือ ‘ไม่ยั่งยืน’ เนื่องจาก ไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้คนเข้าสู่ระบบเพิ่ม และไม่ได้ทำให้ฐานภาษีของประเทศกว้างขึ้น
ขณะที่ Negative Income Tax เป็นนโยบายที่ยังช่วยผู้มีรายได้น้อยอยู่ แต่ขณะเดียวกัน ก็ช่วยส่งเสริมให้คนทำงานมากขึ้นด้วย และยังทำให้รัฐรู้ข้อมูลรายได้ของคนมากขึ้น สามารถช่วยขยายฐานภาษีเงินได้ในอนาคตให้กว้างขึ้นได้
สำหรับขนาดเงินโอนหรือความช่วยเหลือ รศ. ดร. อธิภัทร ระบุว่า “ตามหลักการ ถ้าอยากให้คนหันมาใช้ NIT ก็ควรจ่ายเงินมากกว่าหรือเท่ากับนโยบายปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบัน ผู้ร่วมโครงการก็ไม่ได้ใช้ (Utilize) สวัสดิการทั้งหมด เช่น ส่วนลดต่างๆ หรือค่าเดินทาง ดังนั้นถ้าแปลงออกมาตัวเงินก็อาจจะไม่ต้องให้เต็มมูลค่าเท่ากับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐขนาดนั้น ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับการออกแบบนโยบายด้วย”
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้วงเงินซื้อสินค้า 300 บาทต่อคนต่อเดือน
วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อคนต่อเดือน ค่าไฟฟ้า (ใช้ฟรี) หากใช้ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ส่วนลดค่าน้ำประปา จำนวน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เป็นต้น
เปิดความท้าทาย หากคลังต้องการดัน NIT ให้ใช้ได้ ภายใน 2 ปี
รศ. ดร. อธิภัทร มองความท้าทายหลักๆ หากกระทรวงการคลังต้องการผลักดันให้ Negative Income Tax ใช้ให้เสร็จทันภายในปี 2570 มี 3 ความท้าทายหลัก ได้แก่ ความยากในการตรวจสอบหรือยืนยันความถูกต้อง (Verify) ของรายได้ผู้มีรายได้น้อย ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ (Administration) และ ความท้าทายด้านกฎหมาย
รศ. ดร. อธิภัทร อธิบายว่า ความยาก NIT ในไทยคือ การตรวจสอบหรือยืนยันความถูกต้อง (Verify) ของรายได้ของผู้มีรายได้น้อย
“ดังนั้นถ้าต้องทำภายใน 2 ปี ทำได้ แต่อาจจะทำได้แค่ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่รัฐมั่นใจว่า รู้รายได้ที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น แรงงานรายได้น้อยที่มีนายจ้างอยู่ในระบบ ที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว ส่วนแรงงานนอกระบบ เช่น พ่อค้าหมูปิ้ง หรือแรงงานก่อสร้างที่ไม่ได้อยู่ในระบบ คิดว่า ภายใน 2 ปีนี้ยังไม่น่าทำ (ตรวจสอบความถูกต้องของรายได้) ได้”
นอกจากนี้ NIT ยังมีความยากในด้านการบริหารจัดการ (Administration) ‘มากกว่า’ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเยอะมาก เนื่องจากบัตรสวัสดิการแค่คัดกรองตอนลงทะเบียนครั้งเดียวแล้วให้กรมบัญชีกลางจ่าย แต่ว่า NIT จะต้องมีการทำงานร่วมกันขององค์กรหลายส่วน เนื่องจากต้องเชื่อมกับระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากร ซึ่งจะเปลี่ยนหน้าตาของกรมสรรพากรไปค่อนข้างมาก เห็นได้จากระบบ EITC ของสหรัฐฯ ใช้ทรัพยากรของสรรพากรของสหรัฐฯ ถึง 70%
“หน่วยงานจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ (Internal Revenue Service: IRS) หรือสรรพากรของสหรัฐฯ เคยให้สัมภาษณ์ว่า การดำเนินโครงการ Earned Income Tax Credit (EITC) เป็นมาตรการที่เหนื่อยที่สุดขององค์กร ซึ่งใช้ทรัพยากร (resource) ราว 70% ขององค์กร IRS”
NIT ยังมีความท้าทายด้านกฎหมาย เนื่องจาก ถ้ามีการกำหนดให้กรมสรรพากรเป็นผู้จ่ายเงินออกไปด้วย อาจจะต้องแก้กฎหมายประมวลรัษฎากร เนื่องจากปกติแล้วกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่รับภาษีอย่างเดียว ไม่ใช่คนจ่าย
ขณะที่แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ทางกฎหมาย 3 กรณี สำหรับการออกนโยบาย NIT ได้แก่ การออกกฎหมายเฉพาะฉบับใหม่ การแก้กฎหมายประมวลรัษฎากรบางมาตรา และอาจไม่ได้ต้องแก้กฎหมายใดเลยก็เป็นไปได้ อยู่ที่เกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด
ถอดบทเรียน NIT ต่างประเทศ
ในบทความ Negative Income Tax: ระบบภาษีแบบใหม่ ไทยต้องทำอย่างไร ของสภาพัฒน์ ระบุว่า มีทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ที่มีการนำ NIT มาประยุกต์ใช้ ‘ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน’ ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ
สิงคโปร์
- ชื่อ: Workfare Income Supplement (WIS)
- วัตถุประสงค์: ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของประเทศ และส่งเสริมให้เกิดการออมเพื่อการเกษียณ
- เงื่อนไขพิเศษ: มีการแบ่งเงินช่วยเหลือส่วนหนึ่งสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- ผลลัพธ์: ทำให้รายได้สุทธิของผู้มีงานทำเต็มเวลา ระหว่างปี 2559 – 2564 เพิ่มขึ้น 2.1% ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด 20% (Percentile 20) เพิ่มขึ้น 2.7% ซึ่งนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สะท้อนได้จากค่าสัมประสิทธิ์จินีของสิงคโปร์ที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556
- WIS ยังทำให้อัตราการจ้างงานของแรงงานที่มีรายได้น้อยระหว่างปี 2550 – 2553 เพิ่มขึ้นจาก 2.7% เป็น 7.3% และยังสามารถจูงใจให้ผู้สูงอายุทำงานต่อหรือกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้
สหรัฐอเมริกา
- ชื่อ: Earned Income Tax Credit (EITC)
- วัตถุประสงค์: ช่วยเหลือผู้มีงานทำอายุ 25 – 65 ปี ที่มีรายได้น้อย และมีหมายเลขประกันสังคมอย่างถูกต้อง และช่วยลดภาระการดูแลสมาชิกในครัวเรือน
- เงื่อนไขพิเศษ: การให้ความช่วยเหลือจึงคำนึงถึงภาระการดูแลสมาชิกในครัวเรือนด้วย อาทิ การมีบุตร จำนวนบุตร จะได้รับเงินช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้น
- ผลลัพธ์: การให้ระดับเครดิตภาษีคืนที่พิจารณาตามการมีบุตร ส่งผลต่อการลดความยากจนของแต่ละประเภทครัวเรือนต่างกัน โดย EITC สามารถลดสัดส่วนคนจนของครัวเรือนที่ไม่สมรสและมีสมาชิกที่เป็นเด็ก 3 คน ได้ถึง 20.2% ขณะที่ลดสัดส่วนคนจนของครัวเรือนที่ไม่สมรสและไม่มีเด็กได้เพียง 1 5%
เกาหลีใต้
- ชื่อ: Earned Income Tax Credit (EITC)
- วัตถุประสงค์/เงื่อนไขพิเศษ: พิจารณา
- ทั้งการมีบุตรและจำนวนบุตร ตลอดจนแหล่งที่มาของรายได้ครัวเรือน (ทางเดียว/สองทาง) รวมทั้ง ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มแรงงานอิสระ ซึ่งจะได้ประโยชน์ในระดับที่แตกต่างกันไป
- ผลลัพธ์: EITC มีส่วนทำให้แนวโน้มอัตราการทำงานเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนผู้มีงานทำและชั่วโมงการทำงาน
- หมายเหตุ: EITC ยังไม่สามารถช่วยลดความยากจนในกลุ่มผู้สูงอายุได้ เนื่องจากระดับเงินช่วยเหลือยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความยากจน รวมถึงการจ่ายเงินที่เป็นรายปียังทำให้ผู้สูงอายุต้องบริหารจัดการเงินช่วยเหลือที่ได้รับมาด้วยตนเอง ซึ่งในบางกรณีทำได้ยาก
ออสเตรเลีย
- ชื่อ: Family Tax Benefit: FTB
- วัตถุประสงค์/เงื่อนไขพิเศษ: ช่วยเหลือครัวเรือนรายได้น้อยในการเลี้ยงดูบุตร โดยจำแนกระดับความช่วยเหลือตามจำนวนบุตร อายุบุตร ตลอดจนลักษณะของครัวเรือน (ครัวเรือนสมบูรณ์/พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว)
สวีเดน
- ชื่อ: Earned Income Tax Credit (EITC)
- วัตถุประสงค์/เงื่อนไขพิเศษ: ไม่มีการกำหนดอัตราการชดเชย
- ในช่วง Phase-out เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอุปทานของแรงงานในตลาด
ถอดบทเรียนประเทศที่ยกเลิก NIT
แคนาดาเป็นประเทศที่เคยนำ NIT มาประยุกต์ใช้ แต่ปัจจุบันยกเลิกแล้ว ในโครงการทดลองรายได้พื้นฐาน (MINCOME) ในเมืองโดฟิน (Dauphin) ของรัฐแมนิโทบา โดยจะให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นเงินช่วยเหลือจะลดลงตามสัดส่วน ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องยินยอมให้ติดตามข้อมูล อาทิ ข้อมูลรายได้จากการทำงาน และสถานะทางสังคม เพื่อให้สามารถประเมินผลของโครงการได้
อย่างไรก็ตาม โครงการได้ถูกยกเลิกไปภายหลังการเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากขณะนั้นภาครัฐยังมีนโยบายในการลดรายจ่าย ซึ่งโครงการนี้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้ภาครัฐไม่สามารถสนับสนุนโครงการต่อได้ในระยะยาว
ถอดความสำเร็จ NIT จากต่างประเทศ
ประเทศที่สามารถนำ NIT มาประยุกต์ใช้และยังสามารถดำเนินการต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบต่ำ
- สวีเดน: มีสัดส่วนของแรงงานนอกระบบที่ 3.3%
- สหรัฐฯ: มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบราว 16%
- ออสเตรเลีย: มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบราว 26%
- เกาหลีใต้: มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบราว 26.6%
- สิงคโปร์: มีระบบกฎหมายแรงงานที่เข้มงวดและมีมาตรการสนับสนุนการจ้างงานในระบบส่งผลให้สัดส่วนของแรงงานนอกระบบต่ำ และไม่มีการจัดทำ
- ข้อมูลสถิติ ซึ่งการที่แรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานในระบบนั้นเป็นผลดีต่อการจัดเก็บข้อมูล