จริงหรือไม่ ? 10 ความเชื่อโบราณคนญี่ปุ่น พร้อมกุศโลบายที่แฝงไว้
“ความเชื่อ” คือคำพูดหรือแนวคิดที่สร้างขึ้นจากผู้คนในสมัยก่อนสืบทอดมาจนถึงในปัจจุบัน โดยมีสิ่งสนับสนุนจากภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ได้พบเจอมา บางอย่างไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ แต่ละประเทศก็จะมีความเชื่อที่ต่างกันออกไป ที่ญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน ในญี่ปุ่นก็มีความเชื่อแบบโชคลางที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ บางเรื่องเป็นเรื่องที่ดูลึกลับ บางเรื่องดูเกี่ยวข้องกับพวกสิ่งเหนือธรรมชาติหรือไสยศาสตร์ แต่ก็ดูเป็นความเชื่อที่พอมีเหตุผลหรือมีกุศโลบายแฝงไว้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ในบทความนี้เราขอมาพูดถึง 10 ความเชื่อโบราณคนญี่ปุ่น ลองดูกันว่าจะมีความเชื่อใดบ้าง และเหตุผลที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในความเชื่อเหล่านี้คืออะไร มาเรียนรู้ไปด้วยกันนะคะ
1. ถ้าตัดเล็บตอนกลางคืน จะเสียชีวิตก่อนพ่อแม่
หลายคนคงเคยได้ยินความเชื่อที่ว่าห้ามตัดเล็บตอนกลางคืน ที่ญี่ปุ่นมีคำกล่าวที่ว่า “หากตัดเล็บตอนกลางคืน จะไม่ได้อยู่เห็นพ่อแม่จากไป” หมายถึงจะมีอายุสั้นลง จะเสียชีวิตก่อนพ่อแม่นั่นเอง แต่ความเชื่อนี้ก็มีเหตุผลมารองรับ เพราะในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ตอนกลางคืนจึงมีแสงสว่างน้อยมาก การตัดเล็บในที่มืด ๆ จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้นิ้วโดนบาดหรือตัดเข้าเนื้อได้ เพราะกรรไกรตัดเล็บในสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ ด้วยเหตุนี้ความเชื่อนี้จึงถูกส่งต่อไปยังลูกหลานว่าห้ามตัดเล็บตอนกลางคืน
อีกความเชื่อหนึ่งในเรื่องนี้คือ การตัดเล็บเกี่ยวข้องกับพลังงานหยินซึ่งจะรุนแรงมากในเวลากลางคืน หากทำแล้วจะดึงดูดวิญญาณร้ายและเคราะห์ร้ายเข้าหาตัว
2. เวลารถขนศพวิ่งผ่านให้รีบเก็บนิ้วโป้ง
เด็กญี่ปุ่นจะถูกปลูกฝังความเชื่อที่ว่า “เวลารถขนศพวิ่งผ่านให้รีบเก็บนิ้วโป้ง” เพราะนิ้วโป้งเป็นสัญลักษณ์ของพ่อแม่ เวลาเห็นรถขนศพแล้วจึงรีบเก็บนิ้วโป้งกันไว้ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ได้รับอันตรายหรือจากไปก่อนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงว่าการเก็บหรือซ่อนนิ้วโป้งนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการแสดงความเคารพต่อผู้ล่วงลับอีกด้วย
3. ถ้าผิวปากตอนกลางคืนจะมีงูโผล่ออกมา
ความเชื่อที่ว่า “ถ้าผิวปากตอนกลางคืนจะมีงูโผล่ออกมา” นั้นแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามแต่ละภูมิภาคของญี่ปุ่น บางพื้นที่เชื่อว่าเมื่อผิวปากแล้วจะดึงดูดงูหรือผีให้ออกมา เหตุผลหนึ่งคือสมัยก่อนเวลากลางคืนจะเงียบมาก เมื่อผิวปากหรือทำเสียงดังในเวลากลางคืนก็จะเป็นเสียงที่ค่อนข้างดัง ยิ่งผิวปากแล้วก็เป็นเสียงที่แหลมและน่าขนลุก อีกเหตุผลหนึ่งคือในสมัยก่อนโจรที่ญี่ปุ่นมักจะใช้การผิวปากเป็นการส่งสัญญาณให้กัน จึงไม่ควรผิวปากเพื่อเป็นการป้องกันโจรขึ้นบ้าน
ส่วนที่กล่าวกันว่า “จะมีงูโผล่ออกมา” อาจเป็นเพราะว่าเสียงผิวปากบางทีจะคล้ายกับเสียงงูเลื้อยผ่านหญ้า หรือเป็นการเล่นคำญี่ปุ่น 2 คำระหว่างคำว่า 蛇 ที่แปลว่า งู และคำว่า 邪 ที่แปลว่า ชั่วร้าย ต่างก็ออกเสียงว่า “จา” เหมือนกัน
4. ถ้านอนหันหัวไปทางทิศเหนือจะเจอโชคร้าย
ความเชื่อที่ว่า “ถ้านอนหันหัวไปทางทิศเหนือจะเจอโชคร้าย” มีต้นกำเนิดมาจากทางศาสนาพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระเศียรของพระองค์หันไปทางทิศเหนือ อีกทั้งในงานศพที่ญี่ปุ่นมีธรรมเนียมว่าจะต้องให้ผู้ตายนอนหันศีรษะไปทางทิศเหนือ คนญี่ปุ่นจึงหลีกเลี่ยงทิศเหนือในการนอน เพราะถือว่าเป็น “ทิศมรณะ” ถือเป็นลางร้ายสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ หากหันศีรษะไปทางเหนือก็จะเจอแต่โชคร้าย
แต่ความเชื่อข้อนี้ก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาหักล้างกัน เพราะกล่าวกันว่าการหันศีรษะไปทางทิศเหนือช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มคุณภาพการนอนหลับอันเนื่องมาจากผลกระทบของสนามแม่เหล็ก การนอนหันศีรษะไปทางทิศเหนือในความเป็นจริงจึงถือว่าไม่เป็นโชคร้ายแต่อย่างใด
5. ห้ามเก็บดอกฮิกังบานะ
ดอกฮิกังบานะหรือดอกพลับพลึงแมงมุมสีแดงเป็นดอกไม้สีแดงสดรูปร่างแปลกตา มักพบตามสุสานและตามขอบนาข้าว มีความเชื่อโบราณที่ว่าหากใครเก็บดอกฮิกังบานะกลับบ้าน บ้านนั้นจะเกิดไฟไหม้ คนญี่ปุ่นจึงใช้ความเชื่อนี้ในการเตือนเด็ก ๆ ไม่ให้เก็บดอกฮิกังบานะกลับบ้าน เหตุผลที่แท้จริงของความเชื่อข้อนี้คือดอกฮิกังบานะเป็นดอกไม้ที่มีพิษ มีสารอัลคาลอยด์ที่ชื่อว่าไลโครีน หากเผลอรับประทานหรือเอาเข้าปากไปอาจทำให้เกิดอาการอาเจียนและชักได้
6. ช่วงโอบ้งอย่าเข้าใกล้น้ำ ห้ามว่ายน้ำในแม่น้ำหรือทะเลในช่วงโอบ้ง
ช่วงเทศกาลโอบ้ง (เทศกาลสำคัญของญี่ปุ่นที่จัดขึ้นเพื่อเคารพดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ) มีความเชื่อเกี่ยวกับน้ำอย่างหนึ่งที่ว่า หากว่ายน้ำในแม่น้ำหรือทะเลในช่วงนี้ วิญญาณจะถูกดูดไป เพราะช่วงโอบ้งนี้เป็นช่วงเวลาที่โลกปัจจุบันและโลกหลังความตายเชื่อมโยงกัน บริเวณริมน้ำหรือทะเลจึงถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างสองโลก
เหตุผลที่แท้จริงของความเชื่อข้อนี้คือ ช่วงโอบ้งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นมักเกิดพายุไต้ฝุ่นคลื่นแรงที่เรียกว่าคลื่นโดโย และมีกระแสน้ำย้อนกลับที่เป็นอันตราย ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางน้ำบ่อย การหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางน้ำหรือว่ายน้ำในช่วงนี้จึงถือเป็นสิ่งปลอดภัย
7. อย่าปฏิบัติต่อตุ๊กตาญี่ปุ่นโบราณอย่างไม่เหมาะสม
ตุ๊กตาญี่ปุ่นในที่นี้ไม่ใช่ตุ๊กตาบาร์บี้หรือตุ๊กตาลิกกะจัง แต่เป็นตุ๊กตาญี่ปุ่นแบบโบราณ มีความเชื่อว่าการปฏิบัติต่อตุ๊กตาญี่ปุ่นโบราณอย่างไม่เหมาะสมหรือทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตุ๊กตาจะทำให้เกิดคำสาป เพราะตุ๊กตาญี่ปุ่นโบราณถูกมองว่าเป็น “โยริชิโระ” หรือสื่อที่ให้วิญญาณมาสิงสถิตมาตั้งแต่สมัยก่อน โดยเฉพาะตุ๊กตาญี่ปุ่นโบราณที่มีลักษณะของมนุษย์ เชื่อกันว่าตุ๊กตาสามารถกักเก็บความคิดและความรู้สึกของเจ้าของที่ครอบครองและครอบครัวได้ หากดูแลตุ๊กตาอย่างไม่เหมาะสม ความคิดหรือความรู้สึกที่ตุ๊กตาได้เก็บไว้อาจกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายและนำพาความโชคร้ายมาให้ ยิ่งที่ญี่ปุ่นมีเรื่องที่เกี่ยวกับ “ตุ๊กตาผี” เยอะมาก ทั้งเรื่องตุ๊กตาผู้หญิงผมยาว ตุ๊กตาที่ขยับได้ ยิ่งทำให้ความเชื่อนี้แพร่หลาย
8. การตากผ้าตอนกลางคืนจะเป็นการดึงดูดวิญญาณ
ความเชื่อที่ว่า “การตากผ้าตอนกลางคืนจะเป็นการดึงดูดวิญญาณ” สืบเนื่องมาจากในญี่ปุ่นสมัยก่อน มีประเพณีโบราณในการซักและตากชุดกิโมโนของผู้เสียชีวิตในเวลากลางคืน ทำให้มีความเชื่อที่ว่าการตากผ้าตอนกลางคืนเกี่ยวข้องกับความตาย ถือเป็นลางร้าย และยังเชื่อกันว่าเสื้อผ้าที่เปียกน้ำค้างตอนกลางคืนจะดึงดูดวิญญาณร้าย ถ้าบ้านไหนมีเด็กทารกแล้วตากผ้าตอนกลางคืนก็จะทำให้เด็กทารกร้องไห้และเกิดอาการเจ็บป่วยในเวลากลางคืน
ในความเป็นจริงของความเชื่อข้อนี้คือความชื้นในตอนกลางคืนทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตบนเสื้อผ้าได้ง่าย ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัย และผ้าที่ซักตากไว้ที่ราวตอนกลางคืนก็อาจหายหรือโดนขโมยได้
9. ถ้าส่องกระจกตอนดึกจะถูกดูดวิญญาณ
ความเชื่อที่ว่า “ถ้าส่องกระจกตอนดึกจะถูกดูดวิญญาณ” เป็นความเชื่อที่แพร่หลายทั่วญี่ปุ่น เชื่อกันว่าในช่วงเวลากลางดึกระหว่าง ตี 2 – ตี 2 ครึ่ง จะเป็นช่วงที่ปีศาจและวิญญาณร้ายปรากฏตัว โดยใช้กระจกเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อระหว่างโลกนี้กับโลกวิญญาณ หากส่องกระจกในช่วงเวลานั้นแล้วจะถูกดูดวิญญาณ หรือทำให้วิญญาณร้ายเข้าสิงได้
ความเชื่อนี้สอดคล้องกับเหตุผลถึงปรากฏการณ์ “แพริโดเลีย” ทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่าเป็นปรากฏการณ์ทางจิต การส่องกระจกในที่มืด ๆ หรือมีแสงสลัว ๆ ตอนดึกอาจทำให้ใบหน้าในกระจกดูบิดเบี้ยว ทำให้รู้สึกน่ากลัวยิ่งขึ้นได้
10. ห้ามปักตะเกียบลงไปบนชามข้าว
หลายคนคงเคยได้ยินความเชื่อนี้ ที่ญี่ปุ่นถือว่าการปักตะเกียบลงไปบนชามข้าวถือเป็นลางร้ายอย่างยิ่ง เพราะการปักตะเกียบลงไปตรง ๆ บนชามข้าวจะดูเหมือน “มะคุระเมชิ” หรือพวกของไหว้บนแท่นบูชาในงานศพ เพื่อให้ผู้เสียชีวิตรับประทาน นอกจากนี้การปักตะเกียบบนชามข้าวยังบ่งบอกถึงมารยาทด้วย เวลาไปรับประทานอาหารจึงไม่ควรปักตะเกียบลงไปบนชามแบบนั้น
มีงานวิจัยทางจิตวิทยากล่าวไว้ว่า ยิ่งผู้คนรู้สึกวิตกกังวลมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะทำตามความเชื่อหรือเรื่องโชคลางมากขึ้นเท่านั้น บางครั้งพวกความเชื่อต่าง ๆ หรือเรื่องโชคลางอาจมองดูว่าไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์หรือไม่มีมูลความจริง แต่แท้จริงแล้วความเชื่อเหล่านี้แฝงไปด้วยภูมิปัญญาและกุศโลบายที่คนสมัยก่อนอยากส่งต่อมาถึงคนรุ่นหลัง เพื่อให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดีและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ที่ไทยเองก็มีความเชื่อโบราณหลายอย่างที่สืบต่อกันมา บางข้อก็คล้ายกับของญี่ปุ่น รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ
สรุปเนื้อหาจาก shufuse