ปปง. ลุยยึดทรัพย์เครือข่ายฉ้อโกง 1.2 พันล้านบาท! ฟัน “หมอบุญ” 362 ล้าน-อายัด “ดิไอคอน กรุ๊ป” เพิ่ม 568 ล้าน
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. และในฐานะโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 8/2568 และครั้งที่ 9/2568 ซึ่งมี นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ดำเนินการกับทรัพย์สินในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน การฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น สรุปผลการดำเนินการที่น่าสนใจ ดังนี้ ยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 53 คดี เป็นทรัพย์สิน 1,515 รายการ พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 1,271 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินในคดีสำคัญเกี่ยวกับความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร การฉ้อโกงประชาชนหรือการฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรายคดีสำคัญ อาทิ คดีนายบุญ กับพวก (หมอบุญ) กรณีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนฯ ความผิดเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงฯ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ พฤติการณ์จากการอาศัยความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับกิจการโรงพยาบาล นำเสนอแผนการระดมเงินทุน มีเจตนาหลอกลวงประชาชนที่หวังจะได้รับเงินตอบแทนในอัตราสูง โดยคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 370 รายการ เช่น เงินสด ที่ดิน หุ้น ยานพาหนะ เงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวมมูลค่าประมาณ 362 ล้านบาท (คำสั่ง ย.159/2568)
ส่วนคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก คณะกรรมการธุรกรรม มีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในกรณีดังกล่าวแล้วรวม 5 คำสั่ง รวมทรัพย์สินที่ดำเนินการ 165 รายการ ราคาประเมินประมาณ 450 ล้านบาท และส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าว รวม 2 สำนวนคดี ตามคดีหมายเลขดำที่ ฟ.3/2568 และหมายเลขดำที่ ฟ.54/2568 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาศาลแพ่ง โดยคณะกรรมการธุรกรรมมีมติส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 207 รายการ เช่น รถยนต์ เงินสด สินค้าแบรนด์เนม อาวุธปืน ทองรูปพรรณ เครื่องประดับ มูลค่าประมาณ 171 ล้านบาท (ย.122/2568) ทั้งนี้ ในการประชุม ครั้งที่ 9/2568 คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ยึดทรัพย์สิน (เพิ่มเติม) จำนวน 26 รายการ (อสังหาริมทรัพย์) มูลค่าประมาณ 568 ล้านบาท (คำสั่ง ย.185/2568)
สำนักงาน ปปง. ยังได้มีการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 21 รายคดี ทรัพย์สินกว่า 979 รายการ มูลค่าประมาณ 821 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน
นอกจากนี้ สำนักงาน ปปง. ได้มีการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (คุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย) จำนวน 33 คดี ทรัพย์สินกว่า 537 รายการ มูลค่าประมาณ 522 ล้านบาท ในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ โดยมีข้อมูลรายคดีสำคัญ คือ รายคดี นายชัยณรงค์ กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การปลอมเอกสารสิทธิฯ การลักทรัพย์และการฉ้อโกงฯ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ กรณีการยักยอกทรัพย์วัดเครือวัลย์วรวิหาร ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (กรณีคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย)
โดยดำเนินการกับทรัพย์สิน 16 รายการ มูลค่าประมาณ 16 ล้านบาท (คำสั่ง ย.59/2568) รายคดี น.ส.เจียน หยวน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานฟอกเงิน กรณีการหลอกลวงชักชวนร่วมลงทุน ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (กรณีคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย) โดยดำเนินการกับทรัพย์สิน 42 รายการ มูลค่าประมาณ 27 ล้านบาท (คำสั่ง ย.168/2567) รายคดี บริษัท เคทูเอ็น กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนและการฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (กรณีคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย) โดยดำเนินการกับทรัพย์สิน 38 รายการ มูลค่าประมาณ 171 ล้านบาท (คำสั่ง ย.29/2568 และ ย.32/2568) รายคดี นางสาวสุนิสาฯ กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการลักทรัพย์ และการยักยอกฯ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (กรณีคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย)
โดยดำเนินการกับทรัพย์สิน 120 รายการมูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท (คำสั่ง ย.251/2567 ย.2/2568 และ ย.112/2568) รายคดี นายภานุวัชร กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (กรณีคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย) โดยดำเนินการกับทรัพย์สิน 22 รายการ มูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท (คำสั่ง ย.244/2567) .