ผู้เลี้ยงหมูจี้รัฐ แจงดีลภาษีสหรัฐ หวั่นหายนะห่วงโซ่ 2.9 แสนล้าน
จากที่ประเทศไทยได้บรรลุผลการเจรจาเรื่องภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการปรับลดภาษีจากอัตรา 36% เหลือ 19% ไปแล้ว ซึ่งในรายละเอียดของสินค้าที่ไทยจะปรับลดอัตราภาษีเป็น 0% ให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐนับพันรายการนั้น ยังไม่มีแถลงการณ์ร่วมอย่างเป็นทางการจากทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้หลายภาคส่วนของไทยเกิดความกังวล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสุกร ซึ่งมีมูลค่าห่วงโซ่ที่เกี่ยวเนื่องกว่า 2.9 แสนล้านบาท
นายสิทธิพันธ์ เกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จนถึงขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรยังไม่ได้รับแจ้งจากภาครัฐว่า ได้นำเอาสินค้าสุกรไปใช้ในการแลกเปลี่ยนภาษีในดีลกับสหรัฐหรือไม่ ซึ่งในจุดยืนของเกษตรกรนั้น ไม่ต้องการให้มีการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐ เพราะสินค้านี้มีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ และจะกระทบต่อเกษตรกรและห่วงโซ่การผลิตที่เกี่ยวเนื่องอย่างรุนแรงตามมา หากมีการเปิดตลาดและลดภาษีเป็น 0%
ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ใด ๆ รวมถึงใน FTA ไทย-ออสเตรเลีย และไทย-นิวซีแลนด์ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ไทยได้ขอสงวน ไม่เปิดตลาดให้กับสินค้าเนื้อหมูจากประเทศใด ส่วนที่เคยเปิดตลาดมีเพียงการนำเข้าเครื่องในหมูจากประเทศสเปน ซึ่งใช้เฉพาะในการผลิตอาหารสัตว์ และหนังหมูบางส่วนเพื่อนำมาทำแคบหมู โดยไทยได้ตรวจรับรองโรงงานที่ต้นทางไว้ 4–5 แห่ง
“อยากให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ว่าที่เราไปตกลงกับเขาในเรื่องเนื้อหมูไว้ว่าอย่างไร เพราะหากมีการเปิดตลาดภาษี 0% จะกระทบอุตสาหกรรมสุกรของไทยอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดง
ขณะที่ในห่วงโซ่การผลิตมีผู้เลี้ยงสุกรอยู่ประมาณ 1.5 แสนราย และยังมีผู้ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอาหารสัตว์ รวมถึงโรงงานอาหารสัตว์ที่เกี่ยวเนื่องอีกจำนวนมาก ซึ่งโดยรวมแล้วจะกระทบห่วงโซ่อุตสาหกรรมหลายแสนล้านบาท” นายสิทธิพันธ์ กล่าว