โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดกิจกรรม Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้....ลดมะเร็งตับ เนื่องในวันตับอักเสบโลก
โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดกิจกรรมบริการวิชาการพร้อมบริการทางการแพทย์ Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้….ลดมะเร็งตับ เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) และเพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชันษา 68 ปี
โรคตับอักเสบนับเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งโรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้ หากได้รับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มมีอาการ ดังนั้นทุกคนควรใส่ใจดูแลสุขภาพตับ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดี ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาวิจัยและสถาบันการแพทย์ ซึ่งมีพันธกิจในด้านบริการวิชาการและวิชาชีพด้านสุขภาพแก่สังคม โดยมีโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นส่วนงานหลักในการให้บริการรักษาพยาบาลแก่ประชาชน มุ่งส่งเสริมความรู้และการดูแลเชิงป้องกัน ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ จึงได้จัดกิจกรรม กิจกรรม Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้….ลดมะเร็งตับ และบริการวิชาการสุขภาพและบริการทางการแพทย์เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจำปี 2568 เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเจริญพระชันษา 68 ปี วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 โดยมีนพ.ดำรงค์ สุกิจปัญญาโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นพ.วรวัฒน์ แสงวิภาสนภาพร หัวหน้างานอายุรกรรมทางเดินอาหาร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ และทีมแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ นำโดย พญ.กันต์สุดา ปัญจชัยพรพล พญ.อัญญา เกียรติวีระศักดิ์ นพ.สพล วิวัฒน์พัฒนกุล และ นพ.สพล เทพวิวัฒน์จิต พร้อมด้วย นพ.กฤต หมัดแสละ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว นพ.ธนกร เจริญธนดล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา นพ.กฤตรัตน์ ชัยจิรวิวัฒน์ แพทย์เฉพาะทางสาขารังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว พญ.ชัณษา บางยี่ขัน ศัลยแพทย์ตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี เข้าร่วมงาน ณ โถงชั้น 1 โซน บี อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568
นพ.ดำรงค์ สุกิจปัญญาโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า “กิจกรรมบริการวิชาการสุขภาพและบริการทางการแพทย์เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระกุศลแด่ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชันษา 68 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ โรคไวรัสตับอักเสบ ซึ่งยังคงเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตมากกว่า 1 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สำหรับประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2–3 ล้านคน และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ประมาณ 350,000 ราย ทั่วประเทศ โรคไวรัสตับอักเสบมิได้เพียงเป็นโรคติดเชื้อธรรมดา แต่เป็นสะพานนำไปสู่มะเร็งตับ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ในฐานะสถาบันการแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและรักษาอย่างจริงจัง ตามพระปณิธานขององค์ประธานผู้ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ เพื่อการช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย
ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราสามารถชนะโรคนี้ได้ เนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี มีประสิทธิภาพสูงถึง 95% ในการป้องกันการติดเชื้อ ส่วนไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 99% ด้วยยาสมัยใหม่ที่ใช้เวลาเพียง 8-12 สัปดาห์ นี่คือความหวังที่เราจับต้องได้ การบรรลุเป้าหมายในการกำจัดไวรัสตับอักเสบให้ได้ในปี พ.ศ. 2573 ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกและประเทศสมาชิก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงไม่ไกลเกินเอื้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงได้จัดโครงการขึ้น เพราะการป้องกันที่แท้จริงเริ่มต้นจากความรู้และการลงมือทำ เราเชื่อมั่นว่า หากทุกคนได้รับการตรวจคัดกรองและป้องกันอย่างเหมาะสม เราจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งตับได้อย่างมีนัยสำคัญ
ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จัดกิจกรรม Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้….ลดมะเร็งตับ ขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในการป้องกัน คัดกรอง และดูแลรักษาโรคตับอักเสบ รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างครอบคลุม ซึ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งในการลดการเสียชีวิตจากโรคตับ และสร้างสุขภาวะที่ดีให้แก่ประชาชน อีกทั้ง ยังเป็นการให้บริการวิชาการความรู้สุขภาพเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบ และการให้บริการตรวจหาเชื้อและภูมิไวรัสตับอักเสบบีพร้อมฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับ ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ได้มาตรฐาน
ภายในงาน จัดให้มีการเสวนาให้ความรู้เริ่มที่หัวข้อ “ไวรัสตับอักเสบบี ศัตรูเงียบที่ต้องรู้จักก่อนจะสายเกินไป” โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ พญ.อัญญา เกียรติวีระศักดิ์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวว่า “ไวรัสตับบี คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็น DNA virus ที่มีความแข็งแรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน เป็นเชื้อทำให้ก่อโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่สำคัญของตับ หากเกิดภาวะตับอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ในระยะยาว โดยไวรัสตับบีประมาณ 90% ติดจากแม่สู่ลูกตอนคลอด แต่ก็สามารถมาติดตอนโตได้ โดยการติดเชื้อผ่านเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ โดยการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เช่น ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกัน การรับเลือด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อหรือถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงขอแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากเราเป็นพาหะของโรคนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการบริจาคเลือด ดังนั้น คนไทยทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีนไวรัสตับบีในเด็กแรกเกิดอย่างทั่วถึง และยังไม่มีวัคซีนในวัยเด็ก โดยเฉพาะกลุ่ม คนดังต่อไปนี้ คนในครอบครัวเป็นพาหะไวรัสตับบี กลุ่มคู่สมรสหรือคู่นอนของผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV หรือไวรัสตับซี หญิงตั้งครรภ์ควรตรวจทุกคน ในช่วงฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก กลุ่มที่อาชีพเสี่ยงสัมผัสเลือด อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ ผู้ดูแลผู้ป่วย และคนที่เคยได้รับเลือด หรือทำหัตถการ เช่น สัก เจาะ ในที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น”
ด้าน นพ.สพล วิวัฒน์พัฒนกุล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวเสริมว่า “กรณีตรวจพบว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ผู้ป่วยจะได้รับยาต้านไวรัสเฉพาะผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้เท่านั้น โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรก ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีฉับพลัน ส่วนใหญ่กลุ่มนี้ภูมิคุ้มกันร่างกายมักต่อสู้เชื้อโรคมีโอกาสที่หายเองได้มากกว่ากลุ่มเรื้อรัง เกณฑ์การให้ยาในผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงจะให้เมื่อมีอาการรุนแรงมาก โดยประเมินจากอาการร่วมกับผลเลือด กลุ่มสอง ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง กลุ่มสาม กลุ่มผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ข้อบ่งชี้พิเศษ สำหรับการติดเชื้อไวรัสจะหายขาดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเป็น “ไวรัสระยะเฉียบพลัน” พบในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อใหม่ 80–90% ของผู้ติดเชื้อสามารถหายได้เอง หลังหายแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกัน “การติดเชื้อแบบเรื้อรัง” เป็นระยะที่พบเยอะที่สุด ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน อย่างไรก็สามารถควบคุมโรคได้ ด้วยการกินยาต้านไวรัสเมื่อมีข้อบ่งชี้ ส่วนการติดเชื้อไวรัสไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งตับทุกคน แต่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป 100 เท่า ดังนั้นต้องมีการคัดกรองมะเร็งตับ คือ การตรวจหามะเร็งตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ด้วยวิธีมาตรฐาน คือการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบนเพื่อดูตับทุก 6 เดือน บางครั้งอาจจะทำการตรวจเลือดดูสารบ่งชี้มะเร็งตับ หรือ ค่า AFP ร่วมด้วย”
หัวข้อเสวนา “รู้ให้ไว ป้องกันทัน วัคซีนไวรัสตับอักเสบ B สำคัญแค่ไหน” โดยแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารและตับ ร่วมกับแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว โดย พญ.กันต์สุดา ปัญจชัยพรพล ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับกล่าวว่า "วัคซีนไวรัสตับบี (Hepatitis B vaccine) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้สามารถ ต่อต้านเชื้อไวรัสในอนาคต โดยผู้ที่จะควรได้รับวัคซีนไวรัสตับบี ได้แก่ ทารกแรกเกิด ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกัน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดเชื้อไวรัสบี ผู้ที่ต้องรับเลือดบ่อย ผู้ป่วยเบาหวาน, ไตวาย, หรือภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น”
นพ.กฤต หมัดแสละ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว กล่าวเสริมเกี่ยวกับวัคซีนว่า “กรณีฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือฉีดนานแล้ว ขอแนะนำให้ฉีดเข็มที่เหลือให้ครบ ไม่ต้องเริ่มใหม่ ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 10 ปีแล้ว ภูมิอาจลดลงแต่ยังมีความจำภูมิ ไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ เว้นแต่ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และไม่แน่ใจว่าเคยฉีดหรือไม่ ทั้งนี้ ขอแนะนำตรวจเลือด HBsAg + Anti-HBs ก่อนวางแผนฉีดวัคซีน ส่วนผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A ซึ่งโรคนี้ติดจากการดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส หากเราจะป้องกันตับอักเสบจากเชื้อไวรัส A ซึ่งอาจรุนแรงในคนที่มีโรคตับอยู่เดิม ขอแนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน ส่วนวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนที่ทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้นตรวจภูมิก่อน ถ้าไม่มีภูมิ แนะนำฉีด 3 เข็ม วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ตับแย่ลง แนะนำฉีดปีละ 1 ครั้ง วัคซีนไข้เลือดออก ที่มีสาเหตุมาจากยุงลาย หากติดเชื้อมีความเสี่ยงทำให้ตับวายได้ ขอแนะนำฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 เดือน วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ ลดความเสี่ยงปอดติดเชื้อรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยตับเรื้อรัง ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนมีแนวทางการฉีดหลายรูปแบบ จึงแนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ วัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วยตับเรื้อรังอาจมีอาการรุนแรงจากโควิด-19 ควรฉีดตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และวัคซีนงูสวัด ป้องกันการเกิดงูสวัดรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่อายุมากหรือภูมิคุ้มกันต่ำ สำหรับอายุ 50 ปี หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง”
ปิดท้ายด้วยหัวข้อ “มะเร็งตับไม่ใช่จุดจบ ถ้าค้นพบตอนเริ่มต้น” นำโดย นพ.วรวัฒน์ แสงวิภาสนภาพร หัวหน้างานอายุรกรรมทางเดินอาหาร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ พร้อมด้วย นพ.ธนกร เจริญธนดล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา นพ. กฤตรัตน์ ชัยจิรวิวัฒน์ แพทย์เฉพาะทางสาขารังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว พญ.ชัณษา บางยี่ขัน ศัลยแพทย์ตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
นพ.วรวัฒน์ แสงวิภาสนภาพร หัวหน้างานอายุรกรรมทางเดินอาหาร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ เปิดเผยถึงอุบัติการณ์ไวรัสตับอักเสบและมะเร็งตับ (Global vs Thailand) ว่า “ข้อมูลล่าสุด ปี 2022 มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ทั้งไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรังสะสมอยู่ประมาณ 300 ล้านคน ในประชากรเหล่านี้เป็นไวรัสตับอักเสบบีประมาณ 250 ล้านคน พบผู้ป่วยรายใหม่กว่า 2 ล้านรายต่อปี (ข้อมูลจาก GLOBOCAN 2022) พบบ่อยในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนและในประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังอยู่ประมาณ 2-4% ของประชากรไทย อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคน และไวรัสตับอักเสบซีอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.6% หรือประมาณ 300,000 กว่าคน โดยมีแนวทางการกำจัดไวรัสตับอักเสบบี (HBV Elimination Goals) โดยเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งเป้าลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลง 90% ลดอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสตับลง 65% ลดทุกอุปสรรคทางสังคม ระบบการเข้าถึงการป้องกัน คัดกรอง และการรักษา ซึ่งมีกลยุทธ์หลัก คือ การฉีดวัคซีนไวรัสตับบี การตรวจคัดกรอง (Screening) การให้ยาต้านไวรัส (Tenofovir, Entecavir) และการเฝ้าระวังมะเร็งตับในผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรัง ส่วนภาพรวมการรักษาโรคมะเร็งตับ (Liver Cancer Treatment) ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ ระยะของโรค (Early vs Advanced) สภาพตับ (เช่น ตับแข็งหรือไม่) ภาวะสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย”
ด้านพญ.ชัณษา บางยี่ขัน ศัลยแพทย์ตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี กล่าวว่า“การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นการผ่าตัดเนื้องอกรวมถึงเส้นเลือดที่มาเลี้ยงตัวก้อนออกให้หมด แต่ก็ต้องประเมินสภาพการทำงานของตับและปริมาณเนื้อตับที่เหลือเพื่อป้องกันภาวะตับวายหลังผ่าตัด ซึ่งการประเมินอาจต้องคำนึงถึง จำนวน ขนาด ตำแหน่งของก้อน การทำงานของตับ และปริมาตรตับที่เหลือ ซึ่งถ้าหากไม่เพียงพอ เราอาจจะต้องทำหัตถการเพิ่มเติมก่อนผ่า เพื่อให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดอย่างปลอดภัย เช่น การอุดเส้นเลือดเพื่อเพิ่มปริมาตรตับฝั่งที่เก็บ โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีการผ่าตัดได้พัฒนามากขึ้น มีทั้งผ่าตัดแบบเปิด ผ่าตัดแบบส่องกล้อง การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ สำหรับการผ่าตัดในแต่ละแบบ อาจจะต้องประเมินผู้ป่วยเป็นราย ๆ เนื่องจากปัจจัยในตัวโรค ตำแหน่ง และการทำงานของตับแตกต่างกัน
นพ. กฤตรัตน์ ชัยจิรวิวัฒน์ แพทย์เฉพาะทางรังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว ได้กล่าวเสริมความรู้เกี่ยวกับแนวทางการรักษามะเร็งตับ: Ablation + TACE + Y-90ว่า“การรักษามะเร็งตับแบบไม่ผ่าตัด แผลขนาดเล็กเท่าเข็มเจาะเลือด สามารถคาดหวังผลการรักษาได้ทั้งแบบหายขาดและแบบประคับประคอง เช่น Ablation (RFA/MWA) การจี้ทำลายก้อนมะเร็ง เหมาะสมกับก้อนมะเร็งตับขนาดน้อยกว่า 3 ซม. ไม่ควรเกิน 3 ก้อน ส่วนTACE (Transarterial Chemoembolization) การฉีดยาเคมีบำบัดผ่านสายสวนหลอดเลือด มะเร็งตับหลายก้อน หรือก้อนเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ เพิ่มโอกาสในการผ่าตัดโดยการทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงจนปลอดภัยต่อการผ่าตัด และ Y-90 Radioembolization (Selective Internal Radiation Therapy, SIRT) การฉีดสารเภสัชรังสีผ่านสายสวนหลอดเลือด สำหรับ มะเร็งตับระยะกลางถึงระยะลุกลามก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ หรือ มีการลุกลามเข้าหลอดเลือดดำ (PVTT) เพิ่มโอกาสในการผ่าตัดโดยการทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงจนปลอดภัยต่อการผ่าตัด เป็นต้น
ส่วนนพ.ธนกร เจริญธนดล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา กล่าวเสริมว่า“การรักษาด้วยยา เป็นการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะลุกลาม หรือมีการกระจายของโรคไปยังอวัยวะนอกตับ ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ และไม่สามารถฉีดยาหรือสารเภสัชรังสีไปที่หลอดเลือดตับโดยตรงได้ เป็นการรักษาที่ไม่หายขาด แต่หากมีการตอบสนองที่ดีต่อยา จะสามารถทำให้ก้อนยุบลง และควบคุมโรคได้นานขึ้น ระยะเวลารอดชีวิตสูงขึ้น สำหรับยาที่ใช้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ยามุ่งเป้าชนิดกิน เป็นยามุ่งเป้าที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่เลี้ยงก้อนมะเร็งตับ เป็นยากลุ่มเดียวที่สามารถเบิกจ่ายได้ในระบบกรมบัญชีกลาง 2.ยาภูมิคุ้มกันบำบัด หรือยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรงมากขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ในการรักษามะเร็งตับมักใช้เป็นยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน 2 ชนิดร่วมกันหรือใช้ร่วมกับยาฉีดมุ่งเป้าหลอดเลือด วิธีนี้เป็นการรักษามะเร็งตับที่ดีที่สุดในปัจจุบัน”
สำหรับกิจกรรมบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ภายในงานจัดให้มีบริการตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) จำนวน 168 ราย บริการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Anti-HBs) จำนวน 168 ราย บริการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเฉพาะเข็มแรก จำนวน 68 ราย และบริการนัดหมาย จากทีมโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ทั้งนี้ ท่านที่สนใจเข้ารับการปรึกษาโรคระบบทางเดินอาหารและตับ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สอบถามเพิ่มเติม โทร 1118 และสำหรับผู้รับบริการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ที่มีประวัติการรักษา หรือ HN เพื่อความสะดวกและไม่พลาดทุกการแจ้งเตือน สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CHULABHORN HEALTH PLUS ได้ทาง App store และ Google Play store