แบงก์ชาติ แนะรัฐบาลอัดงบกระตุ้นศก. ค้างท่อ 2.4 หมื่นล้าน รับมือภาษีทรัมป์
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งหนังสือเป็นความคิดเห็นประกอบการพิจารณาต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เกี่ยวกับข้อเสนอโครงการ/รายการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ระยะที่ 2
ภายหลังที่ประชุม ครม. ครั้งล่าสุดได้มีมติอนุมัติ 2 โครงการ ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) วงเงิน 18,488 ล้านบาท มีเนื้อหาระบุว่า
ธปท. ว่า ไม่ขัดข้องต่อข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 แต่ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีกระบวนการ ตรวจสอบและการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนให้เป็นรูปธรรมและมีความโปร่งใส
สำหรับการพิจารณาจัดสรรวงเงินส่วนที่เหลืออาจพิจารณาให้น้ำหนักกับโครงการหรือมาตรการที่สามารถลดผลกระทบจากสงครามการค้าและการประกาศใช้ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff)
รวมถึงควรสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจสามารถปรับตัวได้ในระยะยาว ซึ่งจะเอื้อต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต
นอกจากนี้ ควรเร่งดำเนินมาตรการอื่นควบคู่กันไปด้วย อาทิ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อแก้ไขปัญหาการทะลักของสินค้าต่างประเทศ (import flooding) การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มข้น
รวมไปถึงการดำเนินกระบวนการไต่สวนข้อพิพาททางการค้ากับต่างประเทศ จากสินค้าต่างประเทศที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทย ซึ่งจะช่วยให้โครงการ/มาตรการที่จะช่วยลดผลกระทบฯ มีประสิทธิผลมากขึ้น
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้าง ความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ หลังจากครม.อนุมัติ โครงการในระยะที่ 2 วงเงินรวมกว่า 18,488 ล้านบาท ยังเหลือกรอบวงเงินอีกประมาณ 24,000 ล้านบาท
ที่ผ่านมากระทรวงการคลัง ยอมรับว่า จะต้องมีการพิจารณาทบทวนการจัดสรรงบประมาณส่วนนี้ไปยังโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า มีความเป็นไปได้ว่าอาจนำไปใช้ในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ