“โดรน” ดาบสองคมที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจ
“โดรน” ดาบสองคมที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจ
จากกรณีโดรนปริศนาบินเข้ามาในพื้นที่เขต ทหารในประเทศไทยซึ่งหลายฝ่ายมองว่าโดรนนั้นอาจเป็นโดรนสอดแนมของฝ่ายตรงข้าม เพราะเนื่องจากมีภัยจากนอกประเทศเข้ามาทำให้เกิดความหวาดกลัวทั้งประชาชนในแนวชายแดนและประชาชนทั่วไป เพราะในการ สู้รบปัจจุบันยุค 2020 จะเริ่มเห็นอากาศยานไร้คนขับหรือเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ในยุทธการมากขึ้น อย่างเช่นการประทะระหว่างไทยและกัมพูชา ที่มีการใช้โรนบินสอดแนมฝ่ายตรงข้ามรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของระหว่างประเทศ
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว นำไปสู่การสั่งงดบินโดรนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 68 เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่า เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งให้สิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในการใช้ระบบต่อต้านโดรนที่เรียกว่า anti-drone system และสามารถทำลายโดรนจากภาคพื้นดินได้ทันที
ซึ่งนายจรรยวรรธน์ ชาติอนุลักษณ์ นายกสมาคมอากาศยานไร้คนขับแห่งประเทศไทยเคยให้ข้อมูลไว้ ว่า การตรวจจับโดรนที่ถูกคือมีลักษณะโดดเด่น เช่น การบินระดับต่ำในเวลากลางคืน มีแสงไฟกระพริบและเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ลักษณะดังกล่าวเหมาะกับการลักลอบสอดแนมไปจนถึงดำเนินภารกิจพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญฯ ให้ข้อมูลว่าการใช้โดรนประเภทนี้กำลังเป็นที่นิยมในปฏิบัติการชายแดน เนื่องจากตรวจจับยากและสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
โดยเส้นทางการบินและทิศทางของโดรนหลายลำ สันนิษฐานได้ว่าอาจถูกส่งข้ามฝั่งมาจากกัมพูชา โดยเฉพาะจุดยุทธศาสตร์อย่าง “ช่องอานม้า” ซึ่งเมื่อมีความขัดแย้งหรือช่วงเปลี่ยนผ่านของสถานการณ์ทางการเมือง การใช้โดรนจะเพิ่มความถี่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญโดรนวิเคราะห์เสริมว่า จุดประสงค์หลักอาจมุ่งเน้น “การสอดแนม” หน่วยงานทหารไทยและสิ่งปลูกสร้างสำคัญ
ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญได้ให้แนวทางในการเสริมศักยภาพการป้องกันภัยทางอากาศยาน คือ พัฒนาระบบแอนตี้โดรนในประเทศ ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ โดยเร่งด่วน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจจับและหยุดยั้งภัยคุกคาม
ฝึกอบรมกำลังพลและชุมชนชายแดน ให้รู้เท่าทันเทคโนโลยีและสามารถแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติ
สร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนข้อมูลด่วน ระหว่างหน่วยข่าวกรองและความมั่นคงในภูมิภาคอาเซียน ลดปัญหาความขัดแย้งและความเคลือบแคลงใจระหว่างประเทศ
สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาโดรนของไทย ให้สามารถผลิตทั้งอากาศยานและอุปกรณ์ป้องกันภัยได้เองในประเทศ
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เพียงประเด็นภัยคุกคามเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์และการทัพในศตวรรษที่21 ภัยคุกคามที่ตรวจจับยาก ต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความร่วมมือเชิงนโยบาย และความร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่
ซึ่งเรื่องโดรนถือว่าเป็นเรื่องใหม่ในสงครามยุค 2000 เนื่องจากประเทศไทยก็ยังมีการขาดแคลนเครื่องมือแอนตี้โดรน อยู่พอสมควรแต่ก็ถือว่าเป็นอีกยุทธศาสตร์สำคัญที่ในอนาคตจะได้เห็นมากขึ้นเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มมีการแพร่หลายรวมถึงประชาชนก็มีครอบครองได้ง่าย แต่เพราะฉะนั้นการมีโดรนก็อาจจะเป็นดาบสองคม ที่จะเป็นทั้งอันตรายและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติได้