ส่องม.51กฎบัตร UN ไทยใช้เอาคืนกัมพูชา
กัมพูชาลอบโจมตีซ้ำ กองทัพบกเตรียมใช้สิทธิป้องกันตัวตามมาตรา 51 กฎบัตร UN โต้กลับ พร้อมเปิดหลักฐานต่อประชาคมโลก
จากเหตุการณ์ “ลอบกัดซ้ำซาก”ของกัมพูชา ที่เริ่มเห็น “สัญญาน”เตรียม จัดหนัก“เอาคืน”ฝ่ายตรงข้าม จากกองทัพไทย ทำให้น่าสนใจไปส่อง “กระบวนท่าวิธี”ที่อาจเปิดช่องทางตามกฎบัตรกฎหมาย ระหว่างประเทศให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการได้ ตามที่ “พลตรีวินธัย สุวารี” โฆษกกองทัพบกแถลงเมื่อวาน (12ส.ค.) หลังเกิดเหตุการณ์ หน่วยทหารพรานร้อย.ทพ.2610 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขา 1 นาย คือ “ส.อ.ธีรพล เพียขันที”
กองทัพบก เตรียมใช้สิทธิ์ป้องกันตัวเองหลังสถานการณ์บีบบังคับ กรณีกัมพูชาใช้อาวุธซ่อนเร้น วางทุ่นระเบิด เจตนาร้ายโจมตีทหารไทยช่วงหยุดยิง ไม่เคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ-อนุสัญญาออตตาวา ที่ทำให้มีการพูดถึง ประเด็น ในมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ไทยอาจนำมาใช้ในกรณีกับกรณีการคุกคามที่กำลังเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการเจรจา ทั้งระดับ RBC และ GBC
โดยกรอบกฎหมาย ตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter, Article 51) มีการให้สิทธิรัฐต่างๆในการใช้ Self-Defence เมื่อมีการ “armed attack” หรือการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้น ทั้งนี้ การใช้กำลังต้อง จำกัดขอบเขต และรายงาน ต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งมีรายงานว่า ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ กำลังพิจารณาถึง การตอบโต้เท่าทีจำเป็นและได้สัดส่วน กับการปฏิบัติการเชิงป้องกันต่อภัยคุกคาม ที่มีการสรุปว่าประไทยไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศข้างบ้านอย่างเขมร ที่มีพฤติกรรม ไล่เรียงตั้งแต่
1.การส่ง โดรน เข้ามาในน่านฟ้าไทยหลายครั้ง เพื่อสอดแนมและเก็บข้อมูลทางทหาร
2.เสริมกำลังทางทหารอย่างต่อเนื่องบริเวณแนวชายแดน
3. เผยแพร่ข้อมูลและถ้อยคำยั่วยุ ที่ขัดต่อบรรยากาศสันติภาพ
4.ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จัดขึ้น ณ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้น ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย
ทั้งนี้ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ประเทศไทยใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตาม มาตรา 51 ได้ โดยในมาตราดังกล่าว ให้สิทธิรัฐใช้กำลังป้องกันตนเองเมื่อเกิดการโจมตีด้วยอาวุธ หรือมีภัยใกล้เกิดขึ้น โดยการดำเนินการต้องมี ความจำเป็น (Necessity) และ ได้สัดส่วน (Proportionality)
และภายหลังการปฏิบัติ ไทย รายงานเหตุการณ์และเหตุผลต่อ คณะมนตรีความมั่นคง แห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อความโปร่งใส โดยลักษณะการปฏิบัติการ จะเป็น การโจมตี เชิงป้องกันแบบจำกัดขอบเขต ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น เพื่อทำลายขีดความสามารถทางทหาร ของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นภัยคุกคามโดยตรง เลือกเป้าหมายที่เป็น โครงสร้างทางทหาร เท่านั้น หลีกเลี่ยงการโจมตีพื้นที่พลเรือนทุกกรณี และต้อง ปฏิบัติการเป็นไปตาม กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ทั้งนี้โดยมีเหตุผลเพื่อ
1. ป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย
2. รักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ
3. ลดขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้าม
ในการเปิดฉากโจมตี
4. ส่งสัญญาณชัดเจนว่าประเทศไทยพร้อมปกป้องตนเอง แต่ไม่มุ่งรุกราน
โดยกระบวนการดังกล่าวของไทยจะต้องมีการสื่อสารอย่างโปร่งใสต่อองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ไทยมีหลักฐานยืนยันการละเมิดน่านฟ้าและการเสริมกำลัง ทั้ง ภาพถ่ายดาวเทียม, ข้อมูลเรดาร์, ซากโดรน ซึ่งไทยต้อง เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามและองค์กรระหว่างประเทศ เข้าตรวจสอบ และ ประสานพันธมิตรและองค์การระหว่างประเทศให้รับทราบข้อเท็จจริง
พร้อมให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนอย่างครบถ้วน เพื่อป้องกันข่าวลวงและการบิดเบือ ซึ่งการปฏิบัติกตามกฎบัตรเพื่อป้องกันตนเองดังกล่าวจะถือว่า ประเทศไทยไม่ได้รุกราน แต่ใช้สิทธิตามมาตรา 51 เพื่อป้องกันตนเองจากภัยใกล้เกิดขึ้น เพราะมีการปฏิบัติการมีความจำเป็นและได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคาม ก่อนจะเกิดความเสียหายร้ายแรงเคารพกฎหมายมนุษยธรรม หลีกเลี่ยงการกระทบต่อพลเรือน และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช่ทางทหาร และพร้อมทำงานกับประชาคมโลก เพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค
ทั้งนี้ในแนวทางกฎหมายการป้องกันตนเองดังกล่าว ยังไม่รวมถึงการดำเนินการตามกฎหมายต่าง ๆ ที่ฝ่ายไทยกำลังมีการเก็บหลักฐานข้อมูลเพื่อดำเนินการกับผู้นำรัฐบาล หรือ ผู้เกี่ยวข้องในการสั่งการรบ กองทัพกัมพูชา อย่าง “ฮุนเซน และ ฮุนมาเนต”ที่มีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทย ไม่ใช่กองทัพ ซึ่งสามราถดำเนินการฟ้องร้องตาอศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ได้ตามกระบวนการ สมัชชาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นสมาชิก
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews