ปะทะชายแดน-อุทกภัย กด “ท่องเที่ยวไทย” ช้ำ ลุ้นครึ่งปีหลัง “จุดกลับตัวของการเติบโต”
ผลพวงชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบยอดจอง 8 พันราย รัฐเร่งชี้แจงจุดปะทะห่างไกลแหล่งท่องเที่ยวหลัก ททท.ไม่ลดเป้านทท. ลุ้นครึ่งปีหลัง "จุดกลับตัวของการเติบโต" ถึงเวลา "รีเซ็ตและทบทวนจุดขาย" เร่งตลาด "นักท่องเที่ยวคุณภาพ" เจาะตลาดใหม่กำลังซื้อสูง “ตะวันออกกลาง-อินเดีย” ชดเชยปริมาณชูประสบการณ์ลักชัวรี่ดึงลูกค้ากระเป๋าหนัก
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ภาคการท่องเที่ยวของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และผลกระทบจากอุทกภัยในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐยังคงมองเห็นโอกาสในการฟื้นตัว โดยเน้นการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพและปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับเทรนด์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป
กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เร่งรับมือ ตึงเครียดไทย-กัมพูชาและอุทกภัย
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ล่าสุด มีนักท่องเที่ยว ยกเลิกการเดินทางแล้วกว่า 8,000 ราย แม้จะยังไม่มีการยกเลิกเที่ยวบิน รัฐมนตรีฯ ได้สั่งการให้กระทรวงฯ ทำหนังสือชี้แจงไปยังสถานทูตต่างๆ และสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในต่างประเทศ โดยยืนยันว่า จุดที่เกิดสถานการณ์ความไม่สงบไม่ได้อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักของประเทศ ทั้งนี้ ททท. ยังคงเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวไว้ที่ 39 ล้านคน แม้ตัวเลขปัจจุบันจะยังต่ำกว่าปี 2567 อยู่ประมาณ 4% แต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการดูแลนักท่องเที่ยวในพื้นที่ประสบภัย นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สำหรับ 6 จังหวัดภาคเหนือที่ประสบอุทกภัย (น่าน, เชียงราย, เชียงใหม่, พะเยา, แพร่, สุโขทัย) สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบ โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก พร้อมมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
ขณะที่ 7 จังหวัดที่ติดพรมแดนไทย-กัมพูชา (อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์, สระแก้ว, จันทบุรี, ตราด) ที่มีความไม่สงบ ได้มีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวและให้ความช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรง จากสถานการณ์ดังกล่าว
รายได้พุ่ง แม้จำนวนนักท่องเที่ยวลด โอกาสของ "Quality Traveler"
นายวิชิต คุณคงคาพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจตลาดต่างประเทศ บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด ประเมินภาพรวมการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจไม่ได้ "สวยงาม" มากนัก โดยลดลง 4.6% เหลือ 16.68 ล้านคน อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าสนใจคือ ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวกลับสูงขึ้น ทำให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวปรับเพิ่มขึ้น 0.38% อยู่ที่ 768,000 ล้านบาท
ข้อมูลชี้ว่านักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรมีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงที่สุดที่ประมาณ 70,000 บาท ตามมาด้วยรัสเซีย (60,000 บาท) และจีน (55,000 บาท) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมอาจลดลงเล็กน้อย แต่ "คุณภาพ" ของนักท่องเที่ยวในแง่ของการใช้จ่ายต่อหัวกลับสูงขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญในการทำการตลาดกับ กลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ (Quality Traveler) มากกว่าการเน้นปริมาณเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ดีททท. ยังคงเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 39 ล้านคน โดยเน้นย้ำว่า เป้าหมายที่แท้จริงคือการเพิ่ม "Spending Per Head" หรือรายจ่ายต่อหัว เพื่อนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่จำกัดอยู่เพียงแค่นักท่องเที่ยวจีนเป็นหลักอีกต่อไป
คาดการณ์ฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ตลาดใหม่และการปรับกลยุทธ์
มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป ประเมินว่า การท่องเที่ยวไทยมีทิศทางที่จะฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมองว่าเป็น "จุดกลับตัวของการเติบโต" คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในครึ่งปีหลังจะสูงถึง 20.2 ล้านคน และสร้างรายได้ประมาณ 1.46 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากนักท่องเที่ยวจากตลาดใหม่ๆ ที่เข้ามาเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ:
- ซาอุดีอาระเบีย: คาดการณ์เติบโตสูงถึง 61% จากความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี 2022 และการเปิดเที่ยวบินตรงที่เพิ่มขึ้น
- อิสราเอล: คาดการณ์เติบโตถึง 74% โดยมองว่าประเทศไทยเป็น "ที่พักใจ" จากสถานการณ์การเมืองในประเทศ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักเป็นแบ็คแพ็คเกอร์หรือดิจิทัลโนแมดที่สนใจพักระยะยาว และมีเที่ยวบินตรงสู่กรุงเทพฯ และภูเก็ต
- อินเดีย: เติบโตต่อเนื่องจากการยกเว้นวีซ่า และมุมมองที่ประเทศไทยเป็น "Wedding Destination" โดยเฉพาะในหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น หัวหิน ภูเก็ต กระบี่ พัทยา เชียงใหม่ ซึ่งงานแต่งงานแต่ละครั้งมีมูลค่าการใช้จ่ายสูงมาก (15-100 ล้านบาทต่อครั้ง) และยังนิยมเดินทางเป็นกลุ่ม
- รัสเซีย: คาดว่าจะเดินทางเข้ามามากในช่วงปลายปี (ฤดูหนาว) และใช้เวลาพักในไทยประมาณ 1-2 เดือน โดยสิ่งที่พวกเขาสนใจคือ Wellness
- ยุโรป (อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี): มาเป็นคู่รักหรือครอบครัวขนาดเล็ก สนใจ "สตอรี่ของเมืองไทย" และความเป็นท้องถิ่น (Local Experience) ซึ่งต้องเข้าถึงกลุ่มนี้ด้วยการสื่อสารแบบ Storytelling
นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐ เช่น การยกเว้นวีซ่าสำหรับจีน อินเดีย รัสเซีย และการยกเลิก ตม.6 ที่ด่านภาคใต้ จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ ภาคเอกชน ก็มีส่วนช่วยในการเพิ่มเที่ยวบินตรงเข้าไทย และ ททท. ได้รุกแคมเปญจัดกิจกรรมโปรโมทในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว เมื่อเทียบกับยูโรและปอนด์ ทำให้การตัดสินใจมาเที่ยวไทยมีความคุ้มค่ามากขึ้น
ความท้าทายและทิศทางในอนาคต "รีเซ็ตและทบทวนจุดขาย"
แม้จะมีปัจจัยบวก แต่ภาคการท่องเที่ยวยังคงต้องระวังปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ปัญหา "สแกมเมอร์" หรือข่าวสารด้านความไม่ปลอดภัยที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ รวมถึงนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องภาษี ซึ่งอาจทำให้บางประเทศต้องรัดเข็มขัดมากขึ้น นอกจากนี้ คู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลเซีย ก็สามารถแข่งขันด้านราคาได้
นายวิชิตย้ำว่า ปี 2568 ไม่ใช่แค่ปีของการฟื้นตัว แต่เป็น "จังหวะในการรีเซ็ตและทบทวนจุดขาย" ของประเทศไทย จากเดิมที่นักท่องเที่ยวหลักอย่างชาวจีนมองหาความคุ้มค่า ความคุ้นเคย และความคล่องตัว (เช่น ร้านอาหารจีนที่เสิร์ฟโดยคนจีน) แต่เมื่อเป้าหมายหลักเปลี่ยนเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ สิ่งที่พวกเขามองหาคือ "ความ Exotic" ความเป็นไทย และความเป็นท้องถิ่น ดังนั้น การท่องเที่ยวไทยจึงต้องมองหามุมที่จะสามารถนำเสนอ "ประสบการณ์ที่พรีเมียม, มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว, ยกระดับ และคุ้มค่า" ให้กับนักท่องเที่ยวได้
กำลังซื้อกลุ่ม High-Net-Worth ยังแข็งแกร่ง
ในมุมของธุรกิจค้าปลีก นางธณพร ตันติยานนท์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ONESIAM บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า การบริโภคภายในประเทศยังคงแข็งแกร่งในกลุ่ม High-Net-Worth Individuals โดยนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางซึ่งมีกำลังซื้อสูง รวมถึงกลุ่มยุโรปและเกาหลี สามารถเข้ามาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงไปบางส่วนได้ ซึ่งตลาดท่องเที่ยวต่างชาติในศูนย์การค้ายังคงคึกคัก โดยเฉพาะกลุ่ม Luxury Brand ที่ยังมีการขยายสาขาและเปิดร้านใหม่ต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ในร้าน เช่น การเพิ่มหรือขยายพื้นที่ห้อง VIC เพื่อดูแลลูกค้า
สยามพิวรรธน์ยังได้เพิ่ม AI คีออส เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวและลูกค้า โดยให้บริการถึง 7 ภาษา (ไทย, อังกฤษ, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, อาหรับ) ซึ่งเริ่มให้บริการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ข้อมูลร้านค้าและโปรโมชั่นต่างๆ แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของภาคเอกชนเพื่อรองรับเทรนด์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปและรักษาความสามารถในการแข่งขัน