ส่องมาตรการภาษีรัฐ ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์-ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ลดคาร์บอน 18 ล้านตัน
ถือเป็นอีกกลไกหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเข้าใกล้เป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว เป็นการส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสร้างแรงจูงใจหรือสนับสนุนให้ผู้ที่สนใจ โดยพุ่งเป้าไปที่ ประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จะลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสดุ เครื่องจักร และอุปกรณ์ ที่ได้รับการรับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงหรือฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงานระดับ 5 ดาว จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สามารถนำมาหักค่าใช้จ่าย/รายจ่ายในการซื้อหรือการลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ จำนวน 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง
มาตรการดังกล่าวนี้ จะมีผลบังคับใช้นับถัดจากวันที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศ เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2571
พพ.ชี้ให้เห็นว่า ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตลอดการส่งเสริมจากมาตรการนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้รวม 254,063.22 ล้านบาท สามารถลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวมได้ 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี ช่วยลดลดการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีในรูปแบบ Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ 110,188.33 ล้านบาท และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 15.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) ในบ้านอยู่อาศัย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนที่เข้าข่ายราว 90,000 ราย ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40 (1) - (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
สามารถนำเงินลงทุนในการติดตั้งระบบ Solar rooftop มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในวงเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยชื่อผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านอยู่อาศัย และมีสิทธิการลดหย่อนภาษี 1 บุคคล ต่อ 1 มิเตอร์ ต่อ 1 ระบบ และ Solar rooftop ที่ติดตั้งต้องเป็นระบบ On-grid และมีกำลังการผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) ต่อหลัง และต้องเป็นระบบที่มีการจัดซื้อ ติดตั้ง และยื่นขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย พร้อมหลักฐานใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (Tax Invoice) ของการจัดซื้อและติดตั้งระบบ Solar rooftop และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า มาตรการนี้ มีระยะเวลานับถัดจากวันที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้มีผลบังคับใช้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570
ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตลอดการส่งเสริมจากมาตรการนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรวม 20,250 ล้านบาท สามารถลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวม 585 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 2.64 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
อย่างไรก็ตาม พพ.ประเมินว่า จากการดำเนินการทั้ง 2 มาตรการนี้ จะส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 27,956.35 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับการส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ ในภาคอุตสาหกรรม และช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในระบบของประเทศลงมา จะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 274,313 ล้านบาท โดยเป็นการลดการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีในรูปแบบ Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ถึง 112,288 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 17.99 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
อีกทั้ง ยังจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว