หยุดยิง…แต่ไทยได้อะไร? เมื่อเลือดเนื้อทหาร-ประชาชนแลกกลับมาแค่ “แผนที่ 1:2 แสน!“
“ทหารเสียสละเลือดเนื้อเพื่อเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 แต่รัฐ/กต. ยังถอยกลับไปกอด MOU 43 ที่ยอมรับแผนที่ 1:200,000” — คำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา
โพสต์ของคำนูณ สะท้อนความอัดอั้นในใจของคนไทยหลายคนว่า การเจรจาหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อ 28 ก.ค. 2568 ณ เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย อาจถือเป็น “ความสำเร็จทางการทูต” ในสายตานานาชาติ ทว่าในสายตาคนไทย—โดยเฉพาะครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตจากการปะทะ—คำถามที่ตามมาคือ “แล้วไทยได้อะไร?”
เพราะข้อตกลงที่นำไปสู่การหยุดยิงครั้งนี้ ยังยึดอยู่ในกรอบ MOU 2543 ที่ประเทศไทยเคยลงนามกับกัมพูชา โดยอ้างอิงเส้นแบ่งแดนจากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนสูง และเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่ชัดเจนในพื้นที่พิพาทตลอดแนวชายแดน
—————-
แผนที่ 1:50,000 vs. 1:200,000 — แค่เส้นบนกระดาษ หรือเดิมพันของอธิปไตย?
เส้นเขตแดนในปฏิบัติการของกองทัพไทย ยึดแผนที่ 1:50,000 ที่มีความแม่นยำและเป็นมาตรฐานระดับสากลสำหรับการปฏิบัติทางยุทธศาสตร์ ขณะที่ MOU 2543 กลับยึดแผนที่ 1:200,000 ที่คลุมเครือ และเปิดช่องให้มีการ “รุกคืบ” อย่างมีนัยยะสำคัญ
ข้อวิจารณ์จากหลายฝ่ายจึงไม่ใช่การปฏิเสธการหยุดยิง แต่เป็นคำถามว่า “ถ้าทหารต้องเสียเลือดเพื่อยึดเส้น 1:50,000 แต่รัฐบาลยอมกลับไปใช้แผนที่เดิมที่ทำให้เราอ่อนแอ แล้วเราได้อะไร?”
แผนที่ 1:50,000 คือแผนที่ที่ทหารใช้ลาดตระเวนจริง ตายจริง
แต่แผนที่ 1:200,000 คือแผนที่ในห้องประชุมที่ปลอดภัยของนักการทูต!
———————
ข้อตกลงหยุดยิง = “รีเซต” กลับไปก่อนปะทะ?
แม้ข้อตกลง 3 ข้อที่ออกมาจะฟังดูสร้างสรรค์ เช่น
1. หยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
2. ประชุมผู้บัญชาการระดับสูง 29 ก.ค.
3. เตรียมประชุม GBC ร่วมในวันที่ 4 ส.ค.
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการ รีเซตความสัมพันธ์ ไปยังสถานะเดิมก่อนเกิดเหตุรุนแรง ไม่ได้สะท้อนความคืบหน้าในการปกป้องผลประโยชน์ไทย หรือข้อเรียกร้องเชิงรุกในด้านอธิปไตยพื้นที่ทับซ้อน
—————-
บทบาทอาเซียน–สหรัฐฯ–จีน: ไทยกลายเป็น “ผู้ตาม”
แม้ต้องชื่นชมบทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และการมีส่วนร่วมของจีนและโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในการไกล่เกลี่ย แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาคือ ไทยไม่ได้เป็นผู้นำในเกมนี้ แม้จะเป็น “ผู้เสียหายหลัก” จากความขัดแย้ง
แม้กัมพูชาจะกลับสู่โต๊ะเจรจาภายใต้ MOU เดิม แต่ไม่ได้มีการถอนคำร้องต่อศาลโลก ซึ่งจะยังเป็นชนวนความขัดแย้งที่อาจย้อนกลับมาจุดชนวนความรุนแรงซ้ำอีก เนื่องจากเกี่ยวพันถึงดินแดนไทย 4 พื้นที่ คือ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก โดยไม่มีการแก้ไขหรือสร้างเงื่อนไขใหม่ที่เท่าเทียม กลายเป็นคำถามเชิงยุทธศาสตร์ว่า เราได้ “รักษาอธิปไตย” หรือแค่ “รักษาภาพลักษณ์”
⸻
หยุดยิง คือสิ่งจำเป็น
แต่ “หยุดถอย” คือสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทบทวน
ถ้าการเจรจาทางการทูตจะกลับไปอิง MOU ที่ใช้แผนที่ 1:200,000 ทุกครั้งที่เกิดเหตุปะทะ แล้วเลือดเนื้อของทหารไทยที่ยืนหยัดตามเส้น 1:50,000 จะมีความหมายใด?
ที่สำคัญคือการกระทำของกัมพูชาในการโจมตีพลเริอนไทยจนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
หรือเราจะปล่อยให้ทุกอย่าง…แล้ว ๆ กันไป?
รัฐบาลไทยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ว่าจะเดินหน้าฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้เสียหาย ทั้งผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และครอบครัวของพวกเขา
หากรัฐบาลไทยยังไม่ขยับ ความยุติธรรมจะไม่มีวันมาถึง…
และคนไทยทั้งชาติจะต้องจดจำว่า เลือดเนื้อของทหารและพลเรือน ถูกปล่อยให้สูญเปล่า ภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย
ขณะที่ผู้กระทำผิด ยังคงลอยนวลในเวทีโลก