เลขาฯ ป.ป.ส. จ่อบินเชียงราย รับตัว 2 นักค้ายารายสำคัญ หลบหนีซุกท่าขี้เหล็ก!
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานความเคลื่อนไหวภายในสำนักงาน ป.ป.ส. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ประเด็นการขยายผลติดตามจับกุมบุคคลชาวไทย ที่เกี่ยวข้องในคดียาเสพติดรายสำคัญ ระดับผู้สั่งการ ซึ่งส่วนใหญ่มักหลบหนีหมายจับศาลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกรณี นายเตชินท์ หน่อวงศ์ และนายฉมัง กันทวงศ์ ซึ่งมีพฤติการณ์จัดหายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทย ลักลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน ซึ่งหลังจากทั้งคู่ถูกออกหมายจับในคดียาเสพติด เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 67 ได้ร่วมกันหลบหนีไปอาศัยที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา
อย่างไรก็ดี การติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาชาวไทยทั้ง 2 รายนี้ มาจากกรณีที่สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมของกลางยาเสพติด เฮโรอีน 154 กก. ที่ จ.ชัยนาท ต่อเนื่อง จ.สุพรรณบุรี จากนั้น ป.ป.ส. ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคี เปิดปฏิบัติการต่อเครือข่ายของนายเตชินท์ ในห้วงวันที่ 5 มี.ค. 68 ภายใต้ปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 3 ได้มีการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 10 จุด ใน 6 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.สุพรรณบุรี จ.อ่างทอง จ.สุโขทัย จ.พระนครศรีอยุธยา และจับกุมเครือข่ายของนายเตชินท์ ได้อีก 1 ราย คือ นายพรรคภูมิ (สงวนนามสกุล) พร้อมยึดทรัพย์สินมูลค่า 80 ล้านบาท อาทิ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง รถยนต์ ทองรูปพรรณ เงินในบัญชีธนาคาร เป็นต้น
นอกจากนี้ ในห้วงเดือน ต.ค. 67-มิ.ย. 68 มีการจับกุมยาเสพติดเครือข่ายของนายเตชินท์ รวม 4 คดี พร้อมของกลางยาเสพติด ไอซ์ 609 กก. เฮโรอีน 154 กก. ยาบ้า 1.3 ล้านเม็ด และสามารถขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหา 8 ราย ยึดทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้ว่านายเตชินท์และนายฉมัง ได้หลบหนีหมายจับไปอาศัยอยู่ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา แต่ยังคงมีพฤติการณ์สั่งการและจัดหายาเสพติดให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในอย่างต่อเนื่อง สำนักงาน ป.ป.ส. จึงกำหนดให้บุคคลทั้งสอง เป็นเป้าหมายในโครงการประกาศสืบจับผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญตามหมายจับประจำปีงบประมาณ 2568 รวมเงินรางวัลนำจับ 2.5 ล้านบาท
ด้าน พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา เรามักถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงจับได้เพียงผู้คนลำเลียงยาเสพติดและผู้ค้ารายย่อยเท่านั้น ตนจึงอยากอธิบายว่า การติดตามจับกุมนักค้ายาเสพติด ระดับผู้สั่งการ ส่วนใหญ่คนเหล่านี้มักหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการหลบหนีหมายจับของศาล ดังนั้น จึงต้องมีการเปิดปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 1-4 ตามที่ปฏิบัติมา โดยในครั้งที่ 3 ป.ป.ส. ได้มีการยึดทรัพย์ของเครือข่ายนายเตชินท์ ได้กว่า 80 ล้านบาท ซึ่งเมื่อต้นเดือน ก.ค. ตนได้เดินทางไปพบกับ ผบ.ตร.ประเทศเมียนมา เพื่อประสานขอความร่วมมือช่วยจับกุม 2 ผู้ต้องหาดังกล่าว จึงทำให้ในวันที่ 16 ก.ค. นี้ ตนและคณะ จะนำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษ อินทรีย์ 19 เดินทางไปยังด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อรับส่งมอบตัวผู้ต้องหาตามหมายจับทั้ง 2 ราย คือ นายเตชินท์ หน่อวงค์ และนายฉมัง กันทวงค์ ซึ่งมีบทบาทเป็นนักค้ายาเสพติดข้ามชาติรายสำคัญในระดับผู้สั่งการ มีพฤติการณ์จัดหายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทยลักลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เผยอีกว่า สำหรับเครือข่ายของนายเตชินท์ และนายฉมัง เกือบทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่จับกุมของกลางยาเสพติดได้นั้น มักมีปริมาณตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักหลายล้านเม็ด จึงทำให้เห็นว่าทั้งคู่มีกำลังในการสั่งยาเสพติดปริมาณมากเข้าไทย หากเราจับกุมระดับผู้สั่งการได้ มั่นใจได้ว่าปริมาณการลักลอบลำเลียงยาบ้าและยาเสพติดประเภทอื่นจะลดลง
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เผยต่อว่า ในวันที่ 17 ก.ค. นี้ เวลาประมาณ 13.00 น. สำนักงาน ป.ป.ส. จะมีการจัดงานที่สโมสรทหารบก มีการกล่าวรายงานโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยการกล่าวปาฐกถามอบนโยบายจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งภายในงานจะมีการเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค/ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ร่วมกันจับมือทำสนธิสัญญา เพื่อที่จะให้แผนปฏิบัติการปี 2568 ที่นอกจากเรื่องการ Seal Stop Safe และโครงการสังคมสงบสุขจากยาเสพติด โครงการสังคมปลอดภัยจากยาเสพติดแล้วนั้น เราจะมุ่งเน้นไปที่การขจัดเรื่องยาเสพติดในหมู่บ้านมากขึ้น เจาะลึกตามตรอกซอย ภายใต้โครงการ “หมู่บ้านปลอดยาเสพติด” ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องไปขับเคลื่อนผ่านกลไกราชการ ทั้งนายอำเภอและผู้ใหญ่บ้าน เสมือนการทำธรรมนูญหมู่บ้านของแต่ละแห่ง ต้องไม่มียาเสพติดทุกประเภทเด็ดขาด แม้อาจยังไม่เห็นผลในเร็ววัน แต่จะต้องทำให้ได้.