โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ยูเครนต้องการหยุดยิง ปูตินต้องการดีลสันติภาพ ต่างกันอย่างไร?

THE STANDARD

อัพเดต 47 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
ยูเครนต้องการหยุดยิง ปูตินต้องการดีลสันติภาพ ต่างกันอย่างไร?

หัวข้อในเนื้อหานี้

  • การหยุดยิงยังจำเป็นหรือไม่?
  • ปูติน-ทรัมป์ ต้องการดีลสันติภาพ
  • ยากจะไว้วางใจรัสเซีย

เมื่อวันจันทร์ (18 สิงหาคม) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประชุมร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน และผู้นำยุโรปหลายคน ที่ทำเนียบขาว โดยระหว่างการพูดคุย ทรัมป์ได้หยิบยกบางประเด็นจากการหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นมาพิจารณาและตั้งคำถามว่า การหยุดยิงนั้นยัง ‘จำเป็น’ หรือไม่ หากรัสเซียและยูเครนสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของทรัมป์ ไม่สามารถยับยั้งผู้นำยุโรปบางคนจากการผลักดันให้มีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว ก่อนที่จะเดินหน้าไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ

ที่ผ่านมา รัฐบาลเคียฟและพันธมิตรยุโรป ยืนยันว่าข้อตกลงหยุดยิงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในขั้นต้นของกระบวนการสันติภาพและยุติสงคราม

แต่นักวิเคราะห์มองว่าการยอมรับข้อเรียกร้องของปูตินที่ต้องการข้ามเรื่องหยุดยิง ไปสู่การบรรลุข้อตกลงสันติภาพอย่างถาวรนั้น อาจเป็นการละเลยต่อหลักการพื้นฐานของระเบียบโลก นั่นคือ “ประเทศต่างๆ ไม่สามารถใช้กำลังทหารเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ”

การหยุดยิงยังจำเป็นหรือไม่?

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์กฎหมายระหว่างประเทศหลายคนมองว่า ข้อตกลงที่จะบังคับให้ยูเครนยอมสละดินแดนเพื่อหยุดยั้งรัสเซียไม่ให้สังหารประชาชน ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิงตามกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศส่วนใหญ่ลงนามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยในมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงสันติภาพและการหยุดยิงนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากในระหว่างการหยุดยิง แต่ละฝ่ายที่ร่วมทำสงครามตกลงที่จะยุติการสู้รบ และคงกำลังทหารไว้ในพื้นที่ที่ควบคุม

อย่างไรก็ตาม การหยุดยิงนั้นเป็นเพียงข้อตกลงชั่วคราว ซึ่งอาจจะกินระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือยาวนานเป็นทศวรรษ และโดยปกติจะเป็นการเปิดช่องทางในการเจรจา ส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรืออพยพพลเรือน

เซเลนสกีและผู้นำชาติยุโรป มองว่าการหยุดยิงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาโดยตรงระหว่างเซเลนสกีและปูติน ซึ่งทรัมป์ยืนยันว่าจะจัดขึ้นตามด้วยการประชุมไตรภาคีที่มีเขา เซเลนสกี และปูตินเข้าร่วม

อย่างไรก็ตาม ผู้นำยุโรปบางประเทศ เช่น ฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวในการประชุมกับทรัมป์ว่า เขา “นึกไม่ออกเลยว่าการประชุมครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยปราศจากการหยุดยิง”

ปูติน-ทรัมป์ ต้องการดีลสันติภาพ

สิ่งที่ปูตินต้องการ และตอนนี้ ทรัมป์ก็มีท่าทีสนับสนุนด้วยเช่นกัน คือการเจรจาเพื่อมุ่งหน้าสู่ข้อตกลงสันติภาพอย่างถาวร

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงสันติภาพควรเป็นสนธิสัญญาระยะยาวอย่างเป็นทางการที่กำหนดความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่าง 2 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งข้อตกลงสันติภาพนั้น ‘ไม่ง่าย’ และค่อนข้างมีความ ‘ซับซ้อน’

เจเรมี พิซซี (Jeremy Pizzi) นักกฎหมายระหว่างประเทศและที่ปรึกษากฎหมายของ Global Rights Compliance ซึ่งเป็นมูลนิธิสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า “กฎหมายระหว่างประเทศมีหลักการสำคัญเฉพาะตัว ที่จารึกไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเด่นชัด นั่นคือ การใช้กำลังเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่าสนธิสัญญาใดๆ ที่ได้มาโดยใช้กำลังนั้นผิดกฎหมายและเป็นโมฆะ”

ทั้งนี้ ปูตินยื่นเงื่อนไขหลักในข้อตกลงสันติภาพระหว่างการหารือกับทรัมป์ ที่อะแลสกา คือการที่ยูเครนต้องยอมสละดินแดน 2 แคว้น คือโดเนตสก์และลูฮันสก์ และต้องมีการรับรองไม่ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ในอนาคต

เงื่อนไขเหล่านี้ จะทำให้ข้อตกลงสันติภาพที่รัสเซียต้องการ ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งในแง่ของวิธีการบรรลุข้อตกลงด้วยกำลังทหาร และยังผิดในแง่ของเนื้อหาข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเซเลนสกี อาจจะต้องการที่จะตอบรับเงื่อนไขเพื่อยุติสงคราม (แม้ความจริงจะไม่ได้ต้องการ) แต่เขาก็ไม่สามารถยินยอมที่จะสละดินแดนให้รัสเซียได้

โดยภายใต้รัฐธรรมนูญยูเครน การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับพรมแดนของประเทศจะต้องได้รับการอนุมัติจากประชาชนผ่านการทำประชามติ

แต่ผลสำรวจโดยสถาบันสังคมวิทยานานาชาติเคียฟ (KIIS) ที่ทำการสำรวจในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พบว่าชาวยูเครนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยอมให้ดินแดนของยูเครนไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และเสียงส่วนใหญ่คัดค้านอย่างยิ่งต่อการยอมสละดินแดนที่ยูเครนควบคุมอยู่ในปัจจุบัน

ขณะที่พิซซีชี้ว่า แม้ชาวยูเครนจะเปลี่ยนใจและลงประชามติเห็นชอบให้ยกดินแดนแก่รัสเซีย แต่ข้อตกลงสันติภาพดังกล่าวที่เป็นผลจากการใช้กำลังทหารเพื่อยึดครองดินแดนก็ยังคงผิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ยากจะไว้วางใจรัสเซีย

นอกจากนี้ยังมีเหตุผลในเชิงปฏิบัติและเชิงยุทธศาสตร์ที่ทำให้ยูเครนไม่สามารถตกลงตามข้อเรียกร้องของปูตินได้

โดยปัจจุบันกองทัพรัสเซียควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของลูฮันสก์ และมากกว่า 70% ของโดเนตสก์ ซึ่งหมายความว่าปูตินกำลังขอให้รัฐบาลเคียฟยอมสละพื้นที่มากกว่าที่สูญเสียไปก่อนหน้านี้

แต่พื้นที่บางส่วนของภูมิภาคดอนบาสที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครนนั้น มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการป้องกันประเทศของยูเครน และมีเมืองอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมถึงสโลเวียนสก์ (Sloviansk), ครามาทอร์สก์ (Kramatorsk ) และคอสเตียนตีนีฟกา (Kostiantynivka) ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยถนนสายหลักและทางรถไฟ โดยถือเป็นแกนหลักของการป้องกันประเทศยูเครน ซึ่งหากรัสเซียเลือกเส้นทางเหล่านี้ เส้นทางสู่ภาคตะวันตกของยูเครนก็จะเปิดกว้าง

พิซซียังมองว่า รัฐบาลยูเครนแทบไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะไว้วางใจรัสเซียได้

“รัสเซียโจมตียูเครนด้วยอาวุธมานานกว่า 10 ปีแล้ว อย่างต่อเนื่องและซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสร้งทำเป็นเจรจา แสร้งทำเป็นว่าสุจริตใจ ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้ความรุนแรงและยึดมั่นในเป้าหมายสูงสุดที่ผิดกฎหมายอยู่เบื้องหลัง และทางการยูเครนก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้” เขากล่าว และมองว่า

“ไม่มีเหตุผลเชิงตรรกะและสมเหตุสมผลใดๆ ที่จะไว้วางใจรัสเซีย หากปราศจากการปูทาง การตัดสินใจ หรือการมีส่วนร่วมอย่างสุจริตใจที่พวกเขาทำเพื่อยับยั้งการสังหารชาวยูเครนเพิ่มเติม”

นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group ให้ความเห็นว่า ผู้นำยุโรปจะต้องแสดงให้ทรัมป์เห็นอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะให้การยอมรับต่อการกระทำของรัสเซีย ในการใช้กำลังทหารผนวกดินแดนยูเครนอย่างถาวร”

“แม้ว่าจะมีการยอมรับสถานะทางทหารโดยพฤตินัยในพื้นที่ แต่ยูเครนและยุโรปจะไม่ยอมรับว่า รัสเซียควรได้รับดินแดนมากกว่าที่ยึดครองมาได้”

และที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่ายูเครนจะยอมรับความจริงได้ว่า รัสเซียได้ครองอำนาจควบคุมดินแดนบางส่วนแล้วโดยพฤตินัย แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็คงไม่ยินยอมที่จะยอมรับสิ่งนี้เป็นการถาวร และยังมีเป้าหมายที่ต้องการยึดครองดินแดนทั้งหมดคืนในอนาคต

ขณะที่พิซซีมองว่า แม้การหยุดยิงอาจเป็นทางออกเดียวจากความรุนแรงและสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 4 ปี แต่ข้อตกลงสันติภาพถาวรที่ปูตินต้องการนั้น ถึงอย่างไรก็ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

“ความจริงก็คือ (กฎหมายระหว่างประเทศ) ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางการเมือง ที่จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ ในเมื่อเหยื่อของการรุกรานไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ” เขากล่าว

อ้างอิง :

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

ภราดร ชวนนักกอล์ฟดวลศึก Like Father, Like Son Golf Day 2025

28 นาทีที่แล้ว

NCT DREAM LIVE IN BANGKOK บทเพลงและความรักที่สร้างฝันแห่งอนาคต

35 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

“อมตะ วีเอ็น” ครึ่งปีแรก กำไร 93 ล้านบาท

AEC10NEWs

“ภูมิธรรม” ยังไม่ได้คุยใครจะไปศาล รธน. กับนายกฯ พรุ่งนี้

สำนักข่าวไทย Online

กทม.เดินหน้าพัฒนาริมเจ้าพระยา 3.5 กม. เปิดเวทีรับฟังเสียงชาวบางพลัดร่วมออกแบบเมืองคืนแม่น้ำให้ผู้คนอย่างแท้จริง

สยามรัฐ

“ภูมิธรรม” ยันคดี “อดิศร-นปช.” ปี 52 ยึดตามกม.

สำนักข่าวไทย Online

เวียดนามเปิดโครงการวันเดียวรวมเกือบ 1.6 ล้านล้านบาท

สำนักข่าวไทย Online

‘กัลฟ์’ ฟ้องหมิ่นประมาท หัวหน้าพรรคและ 2 ส.ส. พรรคประชาชน ปมตั้งคำถามเรื่องการซื้อพลังงานไฟฟ้าของรัฐบาล

The MATTER

ศบ.ทก.ยัน คลิปจริง เขมรสาธิตใช้ระเบิด PMN-2 จ่อหอบหลักฐานฟ้อง ออตตาวา ศุกร์นี้

Thaiger

หมอชี้ ถ้าเด็กไม่สบาย การเช็ดตัวหรือป้อนยาลดไข้ “ไม่สามารถป้องกันชักได้” เผยสาเหตุที่ชัก

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทรัมป์ประกาศขยายภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 50% ครอบคลุมสินค้าเพิ่มอีกกว่า 400 ประเภท

THE STANDARD

ทรัมป์ ปฏิเสธส่งทหารสหรัฐฯ ไป ยูเครน แต่จะช่วยสนับสนุนผ่านทางอากาศ

THE STANDARD

ผบ.ทอ.ไทย-สหรัฐฯ พบกันที่ฮาวาย ย้ำสัมพันธ์สองประเทศ ร่วมมือฝึก–ศึกษา เสริมศักยภาพไซเบอร์-อวกาศ-ช่วยเหลือมนุษยธรรม

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...