ศบ.ทก.ยัน คลิปจริง เขมรสาธิตใช้ระเบิด PMN-2 จ่อหอบหลักฐานฟ้อง ออตตาวา ศุกร์นี้
ศบ.ทก. ยืนยันหลักฐานสำคัญ คลิปในมือถือทหารกัมพูชา สาธิตการใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 ในพื้นที่ภูมะเขือ เตรียมใช้ฟ้องอนุสัญญาออตตาวา
พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ประจำวันยืนยันพบหลักฐานชิ้นสำคัญ เป็นคลิปวิดีโอจากโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชา แสดงให้เห็นการใช้งานทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN 2 อย่างชัดเจน ชี้เป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง เตรียมใช้เป็นหลักฐานยื่นต่อที่ประชุมระหว่างประเทศในวันศุกร์นี้
พลเรือตรีสุรสันต์ เปิดเผยว่า กองทัพเรือได้พบหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าทหารกัมพูชาได้ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN 2 ในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมของกองทัพเรือได้ตรวจพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชาที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่
จากการตรวจสอบภายในเครื่อง พบทั้งคลิปวิดีโอและภาพถ่าย ที่บันทึกภาพทหารกัมพูชากำลังสาธิตการใช้งานทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN 2 พร้อมเสียงบรรยายเป็นภาษาเขมร โดยหลักฐานดังกล่าวมีการระบุวัน เวลา และสถานที่อย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นการยืนยันพฤติกรรมการละเมิดข้อตกลงและขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
หลักฐานทั้งหมดได้ถูกส่งมอบให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำไปเสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมการกรอบอนุสัญญาออตตาวา ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคมนี้แล้ว ด้านนางมาระตี รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ยืนยันว่าคลิปดังกล่าวเป็นของจริง และปัดตกข้อกล่าวหาที่พยายามบิดเบือนว่าเป็นละครที่ใช้คนไทยแต่งกายเลียนแบบ
โฆษกกระทรวงกลาโหมยังได้สรุปผลการปฏิบัติภารกิจของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) จากอาเซียน ระหว่างวันที่ 18-20 สิงหาคม ซึ่งได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายแห่ง ทั้งที่ ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี เพื่อดูร่องรอยการตัดลวดหนาม ผามออีแดง เพื่อชี้แนวการยิงจรวด BM-21 ของกัมพูชาที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของไทย และ ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและมีการตรวจพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติม โดยคณะผู้สังเกตการณ์ได้รับทราบข้อมูลและหลักฐานจากฝ่ายไทยอย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ ศบ.ทก. ได้หยิบยกกรณีปัญหาที่ บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย 100% แต่เดิมเคยเป็นที่ตั้งของศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมแก่ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หนีภัยสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อปี 2518 แต่ภายหลังสงครามสงบลง ผู้อพยพบางส่วนกลับไม่ยอมเดินทางกลับ และได้ตั้งชุมชนรุกล้ำแผ่นดินไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543
พลเรือตรีสุรสันต์กล่าวว่า ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล และมองว่า “ฝ่ายกัมพูชากลับใช้ประชาชนของตนเป็นกำแพงมนุษย์ รุกล้ำในเขตอธิปไตยของไทยอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ยั่วยุให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน” ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความไม่จริงใจ และเจตนาร้ายในการรุกล้ำพื้นที่ของประเทศไทยอย่างชัดเจน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง