ฟิทช์ ให้เรทติ้งหุ้นกู้สกุลบาท “ไทยเบฟ” วงเงิน 28,000 ลบ. ที่ AA นำเงินคืนหนี้
ฟิทช์ จัดอันดับเครดิตภายในประเทศหุ้นกู้ “ไทยเบฟ” สกุลบาท วงเงิน 28,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี ที่ ‘AA’ นำเงินคืนหนี้เดิม
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ของบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev) (ซึ่งมีอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ ‘BBB-’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ)
หุ้นกู้ที่จัดอันดับเครดิตมีมูลค่าไม่เกิน 28,000 ล้านบาท ที่ระดับ ‘AA(tha)’ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวอายุไม่เกิน 10 ปี เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหนี้เดิม
หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ThaiBev เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกัน และไม่ด้อยสิทธิของ ThaiBev
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินลดลงอย่างต่อเนื่อง
ฟิทช์คาดการณ์ว่า ThaiBev จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA net leverage ที่ 3.0-3.5 เท่า ในช่วงสองปีข้างหน้า แม้ว่า อัตราส่วนของหนี้สิน ณ มีนาคม 2568 (ครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน 2568) ซึ่งอยู่ที่ 3.8 เท่า ซึ่งฟิทช์คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ 3.4 เท่า ในสิ้นปีงบการเงิน สิ้นสุด กันยายน 2568 (ปีงบการเงิน 2568) หนี้สินสุทธิสูงกว่าระดับที่คาดในครึ่งปีแรกเนื่องมาจากช่วงเวลาของของการจ่ายเงินปันผล (การจ่ายปันผลในครึ่งปีแรกคิดเป็นร้อยละ 75-80 ของทั้งปี)
ฟิชท์คาดว่า EBITDA net leverage ของไทยเบฟ จะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของตลาดเบียร์ จากการผ่อนผันกฎเกณฑ์การจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
ในขณะที่ธุรกิจสุราจะยังคงเติบโตอยู่ในระดับต่ำ บริษัทฯ ได้เปิดตัวสุราใหม่เพื่อรองรับความต้องการในตลาดผลิตภัณฑ์พรีเมียม ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของปริมาณจำหน่ายในธุรกิจสุรา แม้ว่าจะมีแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการแข่งขันจากผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่น ๆ ก็ตาม
อัตรากำไรคงที่
ฟิทช์คาดว่า ThaiBev จะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้สุทธิหลังหักภาษีสรรพสามิต (EBITDA margin) ที่ร้อยละ 22 ในปีงบการเงิน 2568-2569
EBITDA margin ครึ่งปีแรกงบการเงิน 2568 ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 22.7 จากร้อยละ 21.6 ในปีงบการเงิน 2567 จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงและปริมาณการขายที่เติบโตในตลาดเบียร์
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวอาจถูกลดทอนด้วยการเติบโตของปริมาณการขายที่ต่ำในธุรกิจสุราซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น
ฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดสุทธิ (Free cash flow) ของ ThaiBev จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 1.0-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2568-2569 จากจากกระแสเงินสดสุทธิที่เป็นลบ 0.7 พันล้านบาทในครึ่งปีแรก
ของปีงบการเงิน 2568 ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากรอบการรับเงินปันผลจากบริษัทลูก และการจ่ายเงินปันผลทั้งปี ค่าใช้จ่ายในการลงทุนของ ThaiBev น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2568-2569 เนื่องจากการขยายโรงงานผลิตนมของ F&N เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ
ฟิทช์คาดว่า ThaiBev จะใช้กระแสเงินสดสุทธิเพื่อลดหนี้ แม้ว่าหากมีโอกาสในการเข้าซื้อกิจการเกิดขึ้นในอนาคต แผนการเข้าซื้อกิจการของบริษัทฯ อาจทำให้การลดหนี้ช้ากว่าที่คาดการณ์