‘UCI’ชอบผลงานส.จักรยานฯ ชวนนักปั่นไทยไปฝึกที่ศูนย์2ล้อโลก เป้าหมายตั๋วโอลิมปิก2028
“เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี รองประธานสมาพันธ์จักรยานแห่งเอเชีย (ACC), ประธานสหพันธ์จักรยานแห่งอาเซียน (ACF) และนายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า จากการที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้ประชุมออนไลน์ผ่านระบบ Zoom ภายใต้โครงการ Development of National Sport System (DNSS) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) กับ สหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านบุคลากรและนักกีฬาจักรยานของประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยมี นายบาซิล โมเรลลอน และ นายฌอง ฌักส์ อองรี ผู้ประสานงานด้านการศึกษาและทุน ของ UCI เข้าร่วมการประชุม พลเอกเดชา กล่าวว่า สาระสำคัญของการหารือก็คือเรื่องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนากีฬาจักรยานในภูมิภาคเอเชีย ทางผู้แทน UCI ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะสามารถพัฒนาขึ้นไปเป็นศูนย์ฝึกจักรยานภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาคเอเชีย ไปจนถึงความพร้อมด้านบุคลากร เทคโนโลยีและเครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดอยู่ก็คือเวลโลโดรมในร่มความยาว 250 เมตร ซึ่งศูนย์ฝึกจักรยานภูมิภาคจำเป็นต้องมีสำหรับนักปั่นประเภทลู่ในการฝึกซ้อม เนื่องจากในปัจจุบันการแข่งขันจักรยานประเภทลู่รายการระดับนานาชาติและระดับโลก ไปจนถึงโอลิมปิกเกมส์ ก็จะใช้สนามเวลโลโดรมในร่ม 250 เมตรเป็นสนามแข่งขัน “ในขณะที่เมืองไทยเราปัจจุบันเวลโลโดรมทั้ง 4 แห่งที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่หัวหมาก, เชียงใหม่, สุพรรณบุรี และนครราชสีมา ล้วนแล้วแต่เป็นเวลโลโดรมกลางแจ้งความยาว 333.33 เมตรต่อรอบ ซึ่งไม่สามารถรองรับการแข่งขันระดับโลกได้ โดยเฉพาะรายการสำคัญ ๆ ที่มีผลต่อการเก็บคะแนนสะสมคัดเลือกโควตาโอลิมปิกเกมส์ ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันจักรยานประเภทลู่ชิงแชมป์เอเชีย, ยูซีไอ แทร็คเนชั่นส์คัพ หรือยูซีไอ แทร็ค เวิลด์ แชมเปี้ยนชิปส์ หรือจักรยานประเภทลู่ชิงแชมป์โลก” พลเอกเดชา กล่าว พลเอกเดชา กล่าวอีกว่า ส่วนโครงการความร่วมมือ DNSS ล่าสุดมีความคืบหน้าและพร้อมเริ่มเดินหน้าโครงการดังกล่าวทันที โดยประเดิมด้วยการพิจารณาทุนนักกีฬาจักรยานดาวรุ่งของไทยในการเก็บตัวฝึกซ้อมระยะยาวเป็นเวลา 3 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2569-2571 เพื่อมุ่งเป้าไปที่การคัดเลือกโอลิมปิกเกมส์ 2028 ที่นครลอสแอนเจลีส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนักปั่นไทยจะมีโอกาสได้ไปฝึกซ้อมและตระเวนแข่งขันระยะยาวที่ศูนย์ฝึกจักรยานโลก หรือ World Cycling Center (WCC) ณ สำนักงานใหญ่ของ UCI ที่เมืองเอเกิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีความพร้อมทั้งเรื่องสถานที่ฝึกซ้อม เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์การกีฬาไปจนถึงโอกาสในการแข่งขันเก็บคะแนนเพื่อคัดเลือกโอลิมปิกเกมส์ “ในส่วนของนักกีฬา สมาคมกีฬาจักรยานฯ พิจารณาส่งชื่อนักกีฬาที่มีผลงานดีไปให้ทาง UCI พิจารณา ได้แก่ จ.ต.นรเศรษฐ์ธาดา บุญมา นักปั่นประเภทลู่ระยะสั้นดีกรีรองแชมป์โลก เจ้าของเหรียญเงินรายการสปรินท์ ในการแข่งขันจักรยานประเภทลู่เยาวชนชิงแชมป์โลก 2024 ที่ประเทศจีน และเป็นแชมป์เอเชีย เจ้าของเหรียญทองคีรินรุ่นเยาวชน การแข่งขันจักรยานประเภทลู่ชิงแชมป์เอเชีย 2024 ที่ประเทศอินเดีย รวมทั้ง นางสาวหทัยเพชร ใจสว่าง นักกีฬาดาวรุ่งประเภทบีเอ็มเอ็กซ์ ส่วนนักกีฬาประเภทถนนทางสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติไทยจะพิจารณานักกีฬาที่มีผลงานโดดเด่นในช่วงระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา แล้วส่งชื่อให้ UCI พิจารณาต่อไป คาดว่ากระบวนการพิจารณาจะสิ้นสุดและเริ่มต้นการปฏิบัติได้ในช่วงต้นปี 2569 และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2571” พลเอกเดชา กล่าว “เสธ.หมึก” กล่าวอีกว่า ในขณะเดียวกันโครงการดังกล่าวยังจะเข้ามาพัฒนาจักรยานเสือภูเขาของไทยอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นด้วยการฝึกอบรมและเก็บตัวทีมชาติสำหรับจักรยานเสือภูเขา (MTB)โดยจัดการฝึกอบรมสำหรับผู้ฝึกสอนจักรยานเสือภูเขา ในปี 2026 หลังจากนั้นจะมีการเก็บตัวฝึกซ้อมของทีมชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย 2026 ที่จะจัดขึ้น ที่ประเทศอุซเบกิสถาน การเก็บตัวนี้จะรวมถึงนักกีฬาประเภทครอสคันทรีและดาวน์ฮิล ทั้งในรุ่นเยาวชนและรุ่นทั่วไป เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาในระยะยาวให้สามารถประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับภูมิภาค ระดับนานาชาติ ระดับโลก และระดับโอลิมปิก ซึ่งทั้งนักปั่นและผู้ฝึกสอนที่เข้าโครงการก็จะมีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ได้รับทุนไปฝึกซ้อมระยะยาวกับ WCC ต่อไป พลเอกเดชา เปิดเผยอีกว่า ในส่วนของการพัฒนาผู้ตัดสิน ทาง UCI วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันผู้ตัดสินนานาชาติในประเภทลู่และถนนมีจำนวนจำกัด ไม่เฉพาะในประเทศไทยแต่เป็นปัญหาของภูมิภาคเอเชียทั้งหมด จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่โครงการ Development of National Sport System (DNSS) จะต้องดำเนินการ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมของบุคลากรผู้ตัดสินแห่งชาติ (National Commissaire) ในภูมิภาคเอเชียให้ยกระดับขึ้นสู่การเป็นผู้ตัดสินแห่งชาติขั้นสูง (Elite National Commissaire) เพื่อที่จะขึ้นไปเป็นผู้ตัดสินนานาชาติ International Commissaire ต่อไปในอนาคต นายกสองล้อไทย กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางการพัฒนาผู้ตัดสินดังกล่าว สมาคมกีฬาจักรยานฯ ร่วมกับโครงการ DNSS จะประเดิมความร่วมมือในการพัฒนาร่วมกับสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ ด้วยการเปิดโครงการจัดอบรมพัฒนาผู้ตัดสินกีฬาจักรยานอาชีพประเภทถนนระดับนานาชาติ หลักสูตร “Elite National Commissaire Course for Road” ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างวันที่ 11-15 กันยายนนี้ ซึ่งจะมีผู้ตัดสินของหลายชาติในภูมิภาคเอเชียเข้ารับการอบรม ซึ่งไทยเราก็จะส่งผู้ตัดสินไทยรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพเข้าอบรมจำนวน 12 คน และผู้ตัดสินต่างชาติเข้าร่วมอบรมอีก 8 คน รวมทั้งสิ้น 20 คน พลเอกเดชา กล่าวเสริมว่า ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ตัดสินแห่งชาติของไทยจะมีโอกาสในการยกระดับพร้อม ๆ กันหลายคนในฐานะเจ้าภาพจัดการอบรม ซึ่งโดยปกติ ยูซีไอจะคัดเลือกผู้ตัดสินจากแต่ละชาติเพียง 1-2 คน เข้ารับการอบรม ในขณะที่การอบรมผู้ตัดสินแห่งชาติขั้นสูงจะรับผู้ตัดสินเข้ารับการอบรมเพียงไม่เกิน 20 คนในการเข้ารับการอบรมตามนโยบายของ UCI ที่กำหนดให้แต่ละหลักสูตรของการอบรมผู้ตัดสิน โดยผู้ตัดสินที่ผ่านการอบรมและสอบตามมาตรฐาน ก็จะมีสิทธิ์ในการเข้ารับการอบรมและสอบเป็นผู้ตัดสินนานาชาติยูซีไอต่อไปในอนาคต “สิ่งสำคัญการที่ UCI ให้การสนับสนุนโครงการ Development of National Sport System แก่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ก็เพราะ UCI ได้พิจารณาเห็นความตั้งใจการทำงานและผลงานที่สมาคมฯ ทำมาโดยตลอด รวมทั้งผลงานของนักกีฬาที่มีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ทั้งการได้โควตาไปโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีสถึง 4 ที่นั่ง ได้แก่ ส.ท.โกเมธ สุขประเสริฐ ประเภทบีเอ็มเอ็กซ์ เรซซิ่ง, จาย อังค์สุธาสาวิทย์ ในประเภทลู่รายการคีริน, ส.ท.ธนาคาร ไชยยาสมบัติ ในประเภทถนนโรดเรซบุคคลชาย และ ส.อ.หญิง เพชรดารินทร์ สมราช ในประเภทถนนโรดเรซบุคคลหญิง และไทม์ไทรอัลบุคคลหญิง รวมถึงผลงานในการแข่งขันรายการระดับนานาชาติอื่น ๆ ที่นักปั่นไทยไปสร้างชื่อเสียงอย่างต่อเนื่อง” พลเอกเดชา กล่าวในตอนท้าย.