ปัญหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ลดฮวบลง เพราะรัฐบาลไทยทุบหม้อข้าวฮุนเซน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปัญหา “แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์” เป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายต่อคนไทยอย่างมหาศาล ทั้งการหลอกโอนเงิน การแอบอ้างหน่วยงานรัฐ ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดีย ตัวเลขจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า เพียงในปี 2566 มีคนไทยตกเป็นเหยื่อมากกว่า 1.1 แสนราย ความเสียหายรวมกว่า 28,000 ล้านบาท
และล่าสุดในปี 2567 ข้อมูลพบว่ามีประชาชนถูกหลอกลวงทางออนไลน์และแจ้งความผ่านระบบออนไลน์กว่า 400,000 ราย มูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง 60,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีการหักเงิน 30% จากรายได้ จำนวนนี้ส่งให้ผู้มีอำนาจในประเทศที่ให้การคุ้มกะลาหัวแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ นั่นก็หมายความว่าผู้นำคนนั้นจะมีรายได้ปีละ 18,000 ล้านบาท โดยเครือข่ายส่วนใหญ่มีฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาและเมียนมา
ปัญหานี้ถูกกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า “การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือภารกิจเร่งด่วน” เนื่องจากปัญหานี้ไม่เพียงกระทบต่อความปลอดภัยทางเศรษฐกิจของประชาชน แต่ยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินของประเทศ รัฐบาลได้ตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ” โดยบูรณาการกำลังจากตำรวจไซเบอร์, กองทัพ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อทำงานประสานกับเพื่อนบ้าน แต่อย่างที่ทราบกัมพูชาไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาร่วมกับไทยและคาดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ฮุนเซนตัดสินใจเปิดแนวรบตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาเพื่อหวังโค่นล้มรัฐบาล หลังปล่อยคลิปเสียงสนทนากับ น.ส.แพทองธาร จนเป็นเหตุให้ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
แต่ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้มีการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติโดยประกาศเป็นยุทธการ "ไม่จบ ไม่เลิก" โดยมีมาตรการเชิงรุกเริ่มในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับเมียนมาด้วยการสั่ง ตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมัน ทั้งที่เมืองเมียวดีและชเวโก๊กโก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ในการหล่อเลี้ยงแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งมาตรการนี้ได้ผลเป็นอย่างมากในการกดดันแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ต้องย้ายฐานปฏิบัติการซึ่งส่วนใหญ่ย้ายมาที่ฝั่งกัมพูชาโดยเฉพาะที่ปอยเปต ตามมาด้วยการกวาดล้างจับกุมแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อ
นอกจากนี้ยังได้มีการยกระดับกฎหมายและการบังคับใช้ให้เข้มข้นมากขึ้น เช่น พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถอายัดบัญชีม้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ตัดเส้นทางการเงินโดยร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์และธนาคารกลาง ปิดบัญชีม้าและบัญชีต้องสงสัยกว่า 40,000 บัญชี รวมทั้งบล็อกหมายเลขและแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อปิดกั้นเบอร์โทรและเว็บไซต์หลอกลวงมากกว่า 1 ล้านราย ในช่วง 8 เดือนหลังมาตรการเริ่มต้น
สถิติของตำรวจไซเบอร์ระบุว่า จำนวนคดีหลอกลวงทางโทรศัพท์และออนไลน์ลดลงกว่า 60% โดยเฉพาะเครือข่ายจากกัมพูชาและเมียนมาที่เคยครองสัดส่วนสูงสุดถูกกวาดล้างจนแทบไม่เหลือศูนย์ปฏิบัติการใหญ่ในภูมิภาค ปัจจุบันหลังเกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นผลงานของรัฐบาลที่สามารถแก้ปัญหาเรื้อรังมานานและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทยแสนาสาหัสหลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว โดยเฉพาะผู้สูง อายุและผู้มีรายได้น้อยที่ต้องสูญเงินเก็บทั้งชีวิตซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ แต่เป็นเรื่องใหญ่ของสังคม
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่อยู่เสมอและมีการย้ายฐานปฏิบัติการไปยังพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยากกว่าเดิม โดยมีการย้ายฐานจากปอยเปตไปตั้งฐานที่มั่นลึกเข้าไปในประเทศกัมพูชาซึ่งห่างจากชายแดนไทยกัมพูชาประมาณ 70-100 กม. และบางส่วนก็ย้ายไปในประเทศ สปป.ลาว ในพื้นที่ลาวใต้ซึ่งติดกับกัมพูชา ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะต้องสานต่อจากนโยบายของ น.ส.แพทองธาร โดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดและแนบแน่นกับกองทัพในการปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์
คูุ่ขนานกับการปกป้องอธิปไตยของไทยจากการรุกรานของกัมพูชา