โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ภาษีทรัมป์บีบเศรษฐกิจไทย อิเล็กทรอนิกส์อ่วมเสี่ยงสวมสิทธิ์-ถูกแย่งตลาด

Amarin TV

เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาษีทรัมป์บีบเศรษฐกิจไทย อิเล็กทรอนิกส์อ่วม เสี่ยงข้อหาสวมสิทธิ์-คู่แข่งแย่งตลาด

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นเพียงตลาดส่งออกหลักของไทยเท่านั้น หากแต่ยังเปรียบเสมือน “เส้นเลือดเศรษฐกิจ” ที่ช่วยหล่อเลี้ยงดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องหลายปี อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่เคยมั่นคงกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรง เมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยในอัตราสูงถึง 19% มาตรการใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงทั้งความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว และแนวทางการปรับสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่บีบให้คู่ค้าต้องเร่งหาทางเลือกใหม่

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยว่า สำหรับผู้ประกอบการไทย การเก็บภาษีครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเพิ่มต้นทุนการทำตลาด แต่ยังหมายถึงการเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าหลักอย่างยางรถยนต์ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และอัญมณี ซึ่งก่อนหน้านี้ครองส่วนแบ่งตลาดได้อย่างมั่นคง กำลังถูกท้าทายโดยผู้ผลิตจากเวียดนาม ไต้หวัน และประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับสิทธิภาษีในระดับใกล้เคียงหรือดีกว่า นอกจากนี้ ไทยยังต้องรับแรงกดดันจากทั้งห่วงโซ่การผลิตของจีนที่ชะลอตัว และความเสี่ยงจากการเปิดตลาดให้นำเข้าสินค้าสหรัฐฯ แข่งขันกับผู้ผลิตภายในประเทศโดยตรง

ผลลัพธ์จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปรับลดตัวเลขการส่งออก แต่ยังสะเทือนไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจในภาพรวม ไทยอาจเผชิญการสูญเสียส่วนแบ่งตลาด การเร่งตัวของการแข่งขันนำเข้า และแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลก

สหรัฐฯ งัดมาตรการภาษี เขย่าดุลการค้าไทย

ข้อมูลจาก สศช. ระบุว่า ตลอดกว่าครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย โดยในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 18.3% ของการส่งออกทั้งหมด และสร้างดุลการค้าเกินดุลให้ไทยมากถึง 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความสำคัญของตลาดอเมริกาในฐานะ “เส้นเลือดหลัก” ของการค้าระหว่างประเทศไทย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ

ด้วยดุลการค้าที่ไม่สมดุลอย่างมีนัยสำคัญ สหรัฐฯ จึงจัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ต่อสินค้านำเข้าทั่วไปจากไทยในอัตรา 19% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 อัตรานี้เทียบเท่ามาเลเซียและอินโดนีเซีย ใกล้เคียงเวียดนามและไต้หวัน (20%) แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของคู่ค้าสหรัฐฯ (20.7%) และค่าเฉลี่ยอาเซียน (24.4%)

อย่างไรก็ตาม ทิศทางในอนาคตยังขึ้นอยู่กับผลการเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่ายว่าจะคลี่คลายหรือทวีความเข้มข้น โดย สศช. ประเมินว่า ผลจากมาตรการภาษีดังกล่าวมีแนวโน้มส่งแรงกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและการค้าระหว่างประเทศผ่านสามมิติสำคัญ ได้แก่

  • แรงกดดันโดยตรงต่อการส่งออกไทย – สินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงจะเผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
  • แรงสะเทือนจากห่วงโซ่อุปทานโลก – ความต้องการสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบอาจหดตัว โดยเฉพาะในจีนซึ่งกำลังถูกกีดกันทางการค้า และส่งผลต่อการส่งออกของไทยที่เชื่อมโยงกับการผลิตจีน
  • แรงเสียดทานจากการแข่งขันนำเข้าที่รุนแรงขึ้น – การเปิดตลาดและการปรับภาษีจะทำให้สินค้าจากจีนและสหรัฐฯ เองไหลเข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น เพิ่มแรงบีบให้ผู้ผลิตไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างต้นทุนและยกระดับมาตรฐานสินค้า

ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไทย

มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์ส่งผลโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง ซึ่งอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจากต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกสินค้าหลัก 20 รายการแรกของไทยไปสหรัฐฯ อยู่ที่ 34,971 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึง 63.9% ของการส่งออกทั้งหมดไปยังตลาดอเมริกา ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียง “ตลาดสำคัญ” แต่คือ “สมรภูมิหลัก” ที่กำหนดทิศทางการค้าโลกของไทย โดยไทยยังครองความได้เปรียบในสินค้าหลายรายการ เช่น ยางรถยนต์ หม้อแปลงไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องเพชรพลอย

ก่อนหน้าการประกาศใช้ Reciprocal Tariffs เมื่อ 1 สิงหาคม 2568 อัตราภาษีที่ไทยเผชิญส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับประเทศอาเซียนอื่น แต่ไทยยังมีข้อได้เปรียบในสินค้าบางประเภทที่ถูกเก็บภาษีต่ำกว่า เช่น เครื่องโทรศัพท์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เครื่องพิมพ์ ข้าว และเครื่องโทรทัศน์ ขณะเดียวกันไทยก็มีจุดอ่อนในสินค้าบางรายการที่เสียภาษีสูงกว่าคู่แข่ง อาทิ โซลาร์เซลล์ (6.5%) เครื่องจักรและส่วนประกอบ (0.5%) เครื่องเพชรพลอย (10.0%) กล้องโทรทัศน์ (4.4%) ปลาปรุงแต่ง (11.0%) และเฟอร์นิเจอร์ (5.3%) ช่องว่างเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่สมดุลในการแข่งขันที่ไทยต้องเผชิญในแต่ละกลุ่มสินค้า

ดังนั้น เมื่อพิจารณาลึกลงไป สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • สินค้าที่ต้องรักษาฐานตลาด เป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มีการพึ่งพิงการนำเข้าจากประเทศไทยในสัดส่วนสูงสุด 3 อันดับแรก โดยสินค้าไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 10 อาทิ วัตถุดิบสำหรับเลี้ยงสัตว์ (HS2309) ข้าว (HS1006) ปลาปรุงแต่ง (HS1604) และเครื่องแต่งกาย (HS4015) ส่งผลให้คาดว่าในระยะสั้น ผู้นำเข้าจากสหรัฐฯ อาจมีข้อจำกัดและต้องอาศัยระยะเวลาในการพิจารณาปรับเปลี่ยนการนำเข้าไปยังประเทศที่มีต้นทุนที่ถูกกว่าหรือการทดแทนด้วยการผลิตภายในประเทศ จึงมีแนวโน้มที่จะยังคงนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยต่อไป ดังนั้นประเทศไทยจึงต้อง ดำเนินการ เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐฯ ต่อไป
  • สินค้าที่เสี่ยงสูญเสียส่วนแบ่งตลาด ได้แก่ เครื่องโทรศัพท์ (HS8517) ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HS8471) หม้อแปลงไฟฟ้า (HS8504) และเครื่องจักรและส่วนประกอบ (HS8473) แม้จะเป็นสินค้าส่งออกหลัก แต่มีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างต่ำ ทำให้สินค้ากลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะสามารถปรับเปลี่ยนการนำเข้ามาจากประเทศอื่นได้ และในระยะยาวอาจส่งผลให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ ให้กับประเทศที่ถูกเก็บอัตราภาษีต่ำกว่า รวมถึงอาจถูกทดแทนด้วยการผลิตสินค้าภายในประเทศ

ข้อมูลการค้าช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยิ่งตอกย้ำแรงกดดันดังกล่าว เมื่อสหรัฐฯ เร่งนำเข้าสินค้ากลุ่มเสี่ยงจากไทยในปริมาณมาก เช่น เครื่องโทรศัพท์ (เพิ่มขึ้น 56.8%) ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (60.7%) และเครื่องปรับอากาศ (56.6%) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนชัดว่าเป็นการ “ตุนสินค้า” ก่อนภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ และมีแนวโน้มว่าสินค้ากลุ่มนี้จะถูกกดดันอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งจากต้นทุนที่สูงขึ้นและการปรับโครงสร้างตลาดนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ผลกระทบจากการลดลงของความต้องการสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบในห่วงโซ่การผลิต

นอกจากแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าโดยตรง ไทยยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของห่วงโซ่การผลิตโลก โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับจีนซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ข้อมูลจาก สศช. ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 กลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่มีบทบาทเป็น “วัตถุดิบสนับสนุน” สำหรับการผลิตในจีนกลับลดลงทั้งในมิติการนำเข้าของจีนและการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ สะท้อนว่าแรงกดดันไม่ได้หยุดอยู่แค่ปลายทางตลาดอเมริกา แต่ย้อนกลับมากระทบไทยผ่านห่วงโซ่อุปทานด้วย

สินค้าที่เห็นภาพชัด ได้แก่ ไม้แปรรูป (2.24% ของการส่งออกไทยไปจีน) เยื่อจากเส้นใยกระดาษ (1.25%) เครื่องโทรศัพท์ (1.24%) โพลิอะซีทัล โพลิอีเทอร์ และอีพอกไซด์เรซิน (1.13%) และกล้องโทรทัศน์ (0.81%) ทั้งหมดนี้แสดงแนวโน้มลดลงพร้อมกันทั้งในฝั่งการนำเข้าของจีนและการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณี อะลูมิเนียมที่ยังไม่ขึ้นรูป (0.63%) ซึ่งสะท้อนผลกระทบเชิงซ้อนอย่างรุนแรง: การนำเข้าของจีนจากไทยลดลงถึง 11.6% ในครึ่งแรกของปี 2568 ขณะที่การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ร่วงลงถึง 73%

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงแรงกระแทกจากสงครามการค้าได้ แม้จะไม่ได้อยู่ในแนวปะทะโดยตรงกับสหรัฐฯ แต่การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตโลกก็ทำให้สินค้าไทยบางกลุ่มตกอยู่ในภาวะ “แรงกดดันสองชั้น” ทั้งจากการนำเข้าที่หดตัวของจีนและจากความต้องการในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลงตามไปด้วย

ผลกระทบจากการเร่งตัวของการนำเข้าสินค้าจากจีน สู่ความเสี่ยง ‘สวมสิทธิ์’

อีกหนึ่งแรงกระแทกสำคัญมาจากฝั่งการนำเข้า โดยแม้ไทยจะเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในหลายสินค้าหลัก แต่กลับเผชิญภาวะขาดดุลกับจีนในสินค้ากลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องโทรศัพท์ โซลาร์เซลล์ หม้อแปลงไฟฟ้า แผงควบคุมไฟฟ้า ตู้เย็น เครื่องโทรทัศน์ และเฟอร์นิเจอร์ สินค้าเหล่านี้สะท้อนถึงการพึ่งพาจีนในฐานะแหล่งนำเข้าที่สำคัญ ขณะเดียวกันก็เป็นสินค้าหลักที่ไทยใช้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทำให้เกิดความเปราะบางทางการค้า เพราะการได้เปรียบจากฝั่งหนึ่งอาจถูกลบล้างด้วยการเสียเปรียบจากอีกฝั่งหนึ่ง

ข้อมูลจาก สศช. ชี้ว่า มีสินค้าหลายรายการที่จีนเป็นตลาดนำเข้าหลัก ขณะที่สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักเกินกว่า 50% เช่น เครื่องโทรศัพท์และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นสินค้าความเสี่ยงสูงที่อาจถูกใช้เป็น ช่องทางผ่านการค้า (trade conduit) ระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าความเสี่ยงค่อนข้างสูง เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า กล้องโทรทัศน์ เครื่องโทรทัศน์ และตู้เย็น ซึ่งต่างมีสัดส่วนนำเข้าจากจีนไม่น้อยกว่า 19% และมีการส่งออกไปสหรัฐฯ เกินกว่า 50%

ความเสี่ยงดังกล่าวสะท้อนชัดจากข้อมูลในครึ่งแรกของปี 2568 โดยในบรรดาสินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ที่ถูกจัดอยู่ใน บัญชีเฝ้าระวัง 49 รายการ ตามประกาศของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่าถึง 80.6% อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีทั้งการนำเข้าจากจีนและการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ยางรถยนต์ แผงวงจรพิมพ์ และอะลูมิเนียมรีดขึ้นรูป ในทางกลับกัน มีเพียง 14.8% ของสินค้าที่ทั้งการนำเข้าจากจีนและการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงพร้อมกัน เช่น โซลาร์เซลล์ และผลิตภัณฑ์พื้นควอตซ์

ประเด็นนี้ทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นฐาน “สวมสิทธิ” ส่งออกแทน (Transshipment) หากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดและโปร่งใส ความเสี่ยงต่อการถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มเติมจึงไม่อาจมองข้ามได้

ยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังมีความเสี่ยงจากการเปิดตลาดให้กับสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ หากการเจรจานำไปสู่การปรับลดภาษีในอนาคต สินค้ากลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ สินค้าที่ไทยยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้าระดับสูง เช่น นมและครีม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันถั่วเหลือง พืชผักแห้ง มันฝรั่ง ถั่วเหลือง ชา กาแฟ รวมถึงตัวถังยานยนต์ หากเกิดการลดภาษีจริง ผู้ผลิตไทยในกลุ่มเหล่านี้จะต้องเผชิญการแข่งขันโดยตรงจากสินค้าสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อผู้ประกอบการและเกษตรกร แต่ยังอาจกลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อความมั่นคงทางอาหารและวัตถุดิบการผลิตในระยะยาวของไทย

ไทยบนสมรภูมิการค้าโลก ปรับตัวสู้ศึกกำแพงภาษีสหรัฐฯ

สศช. ระบุว่า ผลจากการเปิดเสรีทางการค้าหรือการปรับลดภาษีนำเข้า มีแนวโน้มทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แต่ท่ามกลางแรงกดดัน ไทยยังคงมีโอกาสรักษาส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงและไทยยังมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค อีกทั้งยังคงได้เปรียบด้านวัตถุดิบ โครงสร้างพื้นฐาน และเครือข่ายซัพพลายเชนที่เหนือกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียน

ขณะเดียวกัน แม้สหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับหลายประเทศ รวมถึงไทยแล้ว แต่ทิศทางในอนาคตยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะผลการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ารายใหญ่ เช่น จีน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเลือกปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้า หรือออกมาตรการควบคุมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าทุนและวัตถุดิบสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อห่วงโซ่การผลิตที่ไทยเกี่ยวข้องอยู่

สำหรับไทยเอง การเจรจายังอยู่ในขั้นตอนสำคัญ โดยเป้าหมายคือการบรรลุข้อตกลง Agreement on Reciprocal Tariff Text (ART Text) ที่ไม่เพียงครอบคลุมเรื่องอัตราภาษี แต่ยังรวมถึง มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Barriers: NTBs) เช่น กฎระเบียบ มาตรการด้านสุขอนามัย มาตรการทางเทคนิค การกำหนดกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Regional Value Content: RVC) ซึ่งจะเป็นตัวชี้ชะตาความได้เปรียบของผู้ส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ

ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว ไทยจำเป็นต้องเดินเกมเชิงยุทธศาสตร์สองแนวทางควบคู่กันไป ได้แก่

แนวทางเชิงป้องกัน:

  • ยกระดับระบบตรวจสอบและบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการ “สวมสิทธิ์” ทางการค้า ที่อาจทำให้ไทยถูกใช้เป็นฐานส่งออกไปสหรัฐฯ ภายใต้ข้อหา Transshipment
  • เฝ้าระวังการทุ่มตลาด (Dumping) และการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศคู่ค้า
  • ปรับปรุงมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมสินค้านำเข้าทุกประเภท และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย

แนวทางเชิงรุก:

  • ยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย มุ่งสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกได้มากขึ้น
  • ส่งเสริมการลงทุนด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการยกระดับมาตรฐานการผลิต เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว
  • กระจายความเสี่ยงโดยการเปิดตลาดส่งออกใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพียงตลาดเดียว

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การเผชิญหน้ากับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่ใช่เพียงโจทย์ระยะสั้น แต่คือบททดสอบเชิงโครงสร้างที่บังคับให้ไทยต้องเร่งปรับตัวทั้งในด้าน กฎเกณฑ์ กำลังการผลิต และกลยุทธ์การค้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

ดวงรายเดือน ลัคนาราศีตุลย์ ประจำเดือนกันยายน 2568 | โหราพญายักษ์

17 นาทีที่แล้ว

ดวงรายเดือน ลัคนาราศีกันย์ ประจำเดือนกันยายน 2568 | โหราพญายักษ์

20 นาทีที่แล้ว

ดวงรายเดือน ลัคนาราศีสิงห์ ประจำเดือนกันยายน 2568 | โหราพญายักษ์

20 นาทีที่แล้ว

ดวงรายเดือน ลัคนาราศีกรกฎ ประจำเดือนกันยายน 2568 | โหราพญายักษ์

20 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

ไทยพาณิชย์อัดสินเชื่อยันไม่ทิ้งเอสเอ็มอี

AEC10NEWs

BEM ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการศึกษา สร้างอนาคตเยาวชนไทยอย่างยั่งยืน

หุ้นวิชั่น

ปมร้อนชายแดน-ภาษีสหรัฐกดดัชนีเชื่อมั่นฯลดต่ำสุดรอบ 3 ปี

The Better

SEI แย้มแผนครึ่งปีหลัง เข้าไฮซีซัน ตั้งเป้าเพิ่มพันธมิตร เป็น 25 แบรนด์คลุมทั่วโลก ดันรายได้ตั้งปีโต 30%

MATICHON ONLINE

KCE ผู้นำ PCB โลก ชี้ไทยต้องปั้นอีโคซิสเต็มอิเล็กทรอนิกส์สู่ฮับอาเซียน พร้อมชู 4 กลยุทธ์สำคัญ ยกระดับอุตสาหกรรมสู่สากล

The Better

GCAP ประเมินความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กุมชะตาทองคำ แนะรอซื้อช่วง 51,000-50,800 บาท

การเงินธนาคาร

ครม.ไฟเขียว “พชร อนันตศิลป์” นั่งปลัดดีอีคนใหม่ มีผล 1 ต.ค. 68

การเงินธนาคาร

AI เติมมูลค่า 16 ล้านล้านให้บ.ยักษ์ Morgan Stanley ชี้ S&P 500 รับอานิสงส์ แต่แรงงานอาจหายไป 90%

Thairath Money

ข่าวและบทความยอดนิยม

เจาะนิยาม 'Transshipment' ทำไมบางสินค้าไทยเสี่ยงเจอภาษี 40% แทน 19%?

Amarin TV

หุ้นชิปเอเชียร่วงหลังทรัมป์ประกาศภาษีชิป100%เว้นบริษัทที่ลงทุนในสหรัฐฯ

Amarin TV

ทุเรียนกัมพูชาล็อตแรกบุกจีน จุดกระแส ‘การทูตผลไม้’ ชิงตลาดไทย-เวียดนาม

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...