หนี้ครัวเรือนไทย Q1/68 หดตัวเล็กน้อย
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 25 สิงหาคม 2568 เวลา 18.34 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทกรุงเทพฯ 25 ส.ค. – หนี้สินครัวเรือน ไตรมาส 1/68 หดตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.1 เป็นการหดตัวครั้งแรก ทำให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 87.4 ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนยังคงมีปัญหา โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และบัตรเครดิต ด้านสถานการณ์แรงงานไตรมาส 2 ทรงตัว จับตาผลกระทบภาษีสหรัฐฯ
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า หนี้สินครัวเรือน ไตรมาส 1/2568 หดตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.1 จากการขยายตัวร้อยละ 0.2 ของไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นครั้งแรก โดยธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดสินเชื่อมีการหดตัวเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ทำให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 87.4 เมื่อเปรียบเทียบกับรอยละ 88.4 ของไตรมาสที่ผ่านมา ด้านความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนยังมีปัญหา โดยหนี้เสีย (NPLs) มีมูลค่า 1.19 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลงในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบัตรเครดิต
“หนี้ครัวเรือนเป็นระเบิดเวลาตัวหนึ่ง การแก้ปัญหามีความซับซ้อนมากขึ้น จากการกู้เงินนอกระบบผ่านแอปพลิเคชั่นรวมถึงออนไลน์ ซึ่งต้องเร่งปราบปรามอย่างจริงจัง เงินกู้นอกระบบอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น การใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ที่อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว” เลขาสภาพัฒน์ฯ กล่าว
ส่วนการจ้างงานไตรมาส 2 ตัวเลขผู้มีงานทำอยู่ที่ 39.5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 0.02 จากไตรมาส 2 ของปี 2567 ส่วนอัตราการว่างงานลดลง โดยอยู่ที่ร้อยละ 0.91 จากไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.07 หรือมีผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน โดยการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่ภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง สาขาที่การจ้างงานขยายตัวมากที่สุด คือ สาขาขนส่ง/เก็บสินค้า และสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร
อย่างไรก็ดียังต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากการปรับภาษีนำเข้าสหรัฐ เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของสินค้าไทย ไทยส่งออกไปยังสหรัฐสูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ มูลค่าส่งออก 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมกว่า 20.6% โดยสหรัฐมีการเรียกเก็ลภาษีหลายรูปแบบ ทั้งการจัดเก็บภาษีเฉพาะในสินค้าบางรายการ (Specific Tariffs) การกำหนดภาษีศุลการกรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ไทยถูกจัดเก็บที่ร้อยละ 19 รวมทั้งยังมีมาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า นอกจากนี้ไทยยังต้องปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกว่าหมื่นรายการเป็น 0% โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันยากขึ้น และกระทบต่อการจ้างงานหรือชั่วโมงทำงานของแรงงาน ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนการเปิดตลาดใหม่ ออกมาตรการปกป้องสินค้าไทย รวมถึงตรวจสอบการสวมสิทธิ์สินค้า
นอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อพิพาทเขตแดนที่อาจยืดเยื้อ การรับมือกับรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน การปรับรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการ จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน การขาดแคลนแรงงานต่างด้าว แรงงานต่างด้าวไม่มาต่อใบอนุญาตทำงาน มาตรการเชิงบังคับในการดึงแรงงานกลับประเทศกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้แรงงานกัมพูชาในไทยในระบบมีทั้งสิ้น 5.2 แสนคน เดินทางกลับจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่กลับไปแล้วกว่า 80% อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาไทยบริหารจัดการแรงงานได้ระดับหนึ่ง เมื่อส่วนนี้หายไปก็ดึงแรงงานจากประเทศอื่น ผลกระทบอาจจะเห็นเฉพาะในระยะสั้น ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจมีไม่มาก ซึ่งปัจจุบัน ได้มีการเร่งหาแรงงานประเทศเมียนมาทดแทน และ ครม.มีมติเห็นชอบอนุมัติบันทึก ความร่วมือในการจัดหาแรงงานศรีลังกาเพิ่มเติม รวมถึงสัญชาติอื่นๆ อาทิ เนปาล ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย. -517-สำนักข่าวไทย