‘สภาพัฒน์’ เผยจ้างงานไตรมาส 2/68 ทรงตัว ห่วงแห่กู้นอกระบบพุ่ง
'สภาพัฒน์' เผยตัวเลขจ้างงานไทย Q2/68 ทรงตัว หนี้ครัวเรือนหดตัวครั้งแรก แต่ NPLs ยังพุ่ง หวั่นคนไทยกู้นอกระบบ แห่ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ห่วงสังคมไทยเผชิญภัยเงียบ‘ AI-บุหรี่ไฟฟ้า-คดีอาญา‘ ด้านแรงงานต่างด้าวขาดแคลน หลังไม่มาต่อใบอนุญาตทำงานกระทบแค่ระยะสั้น หลังรัฐไฟเขียวดึงแรงงานชาติอื่นเสริม
25 ส.ค.2568 - นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 2 / 2568 ว่า สถานการณ์ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้ง สิ้น 39.5 ล้านคน ขยายตัว 0.02% จากช่วงเดียวกันของปี 2567 เป็นผลมาจากการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมที่ขยายตัว 0.4% ซึ่งขยายตัวมากที่สุดในสาขาละจัดเก็บสินค้าที่ 7.9% รองลงมาเป็นสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ที่ 3.1% และสาขาการผลิตฟื้นตัวที่ 0.5% ส่วนสาขาการก่อสร้างและสาขาการค้าปลีก/ค้าส่งหดตัวลงที่ 3.7%
ขณะที่การจ้างงานภาคเกษตรกรรมหดตัวต่อเนื่องที่ 0.9% โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ชั่วโมงกาาทำงานทรงตัว โดยภาพรวมอยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ภาคเอกชนอยู่ที่ 46.9 ชั่วโมงต่อ ผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 8.0% เช่นเดียวกับผู้ทำงานต่ำระดับที่ลดลง 4.0% สำหรับคำรับค่างแรงของภาคเอกชนและแรงงานในระบบเพิ่มขึ้น 2.4% และ 2.5% ตามลำดับ แต่ในภาพรวมลดลง 1.9% ส่วนอัตราการว่างงานลดลง โดยอยู่ที่ 0.91% จากไตรมาสสอง ปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.07% หรือมีผู้ว่างงานลดลงในกลุ่มอาชีวศึกษาและกลุ่มวิชาชีพขั้นสูง
ส่วนผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น 5.2% เป็นช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีจำนวน 2.1 ล้านคน ส่วนมากเป็นการลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา และหันไปใช้รูปแบบการจ้างงานแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ทั้งพนักงานประจำ และพนักงานสัญญาจ้าง พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา โดยเฉพาะองค์ขนาดใหญ่ ซึ่งจะเห็นได้จากจำนวนของจ้างงานแบบไม่เต็มเวลาเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2565 เป็น 42% ในปี 2567 และพนักงานสัญญาจ้าง พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2565 เป็น 28% ในปี 2567 สำหรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการไทยจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
สำหรับหนี้สินครัวเรือน ไตรมาส 1/2568 หดตัวอยู่ที่ 0.1%จากการขยายตัว 0.2%ของไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นครั้งแรก โดยธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดสินเชื่อมีการหดตัวเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ทำให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี ปรับลดลงมาอยู่ที่ 87.4%เมื่อเปรียบเทียบกับ88.4%ของไตรมาสที่ผ่านมา ด้านความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนยังมีปัญหา โดยหนี้เสีย (NPLs) มีมูลค่า 1.19 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลงในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบัตรเครดิต
ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การกู้เงินนนอกระบบมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของหนี้เสียของครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น การก่อหนี้เต็มวงเงินแล้ว ทำให้หันไปพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่เข้าถึงง่าย โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันเงินกู้ผิดกฎหมายรวมถึงการใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later)ในแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งครอบคลุมไปถึงร้านอาหารและสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งการให้สินเชื่อในลักษณะนี้โดยไม่ได้พิจารณาภาระหนี้ของลูกหนี้อย่างรอบคอบ อาจเร่งให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนทวีความรุนแรงขึ้น มองว่าเรื่องพวกนี้ไม่ควรมีการผ่อน
สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ 1. ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อการจ้างงาน โดยสหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีหลายรูปแบบ ทั้งการจัดเก็บภาษีเฉพาะในสินค้าบางรายการ (Specific Tarffs) การกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ไทยถูกจัดเก็บที่ 19% รวมทั้ง ยังมีมาตรการในการป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Ongin) นอกจากนี้ไทยยังต้องปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกว่าหมื่นรายการเป็น 0% โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยแข่งขันยากขึ้น และกระทบต่อการจ้างงานหรือชั่วโมงการทำงานของแรงงาน ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนการเปิดตลาตใหม่ มีมาตรการปกป้องสินค้าไทย รวมถึงการตรวจสอบการสวมสิทธิของสินค้า
2. การปรับรูปแบบการจ้างานของสถานประกอบการจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยใน ปี 2567 องค์กรในไทย 25% มีแนวโน้มจะลดพนักงานและปรับโครงสร้างองค์กร โดยจะลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา และหันไปจ้างแบบพนักงานประจำไม่เต็มเวลา รวมถึงพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน ระดับรายได้ ตลอดจนสิทธิตามกฎหมายต่าง ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรตรวจสอบให้การดำเนินการของสถานประกอบการเป็นไปตามกฎหมาย
3.การขาดแคลนแรงงานต่างต่างด้าวที่ปัจจุบันแรงงานต่างด้าว 3.88 แสนคน ไม่มาต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือดำเนินการไม่ครบถ้วบถ้วน อีกทั้งรัฐบาลกัมพูชายังมีการดำเนินมาตรการเชิงบังคับให้กลับประเทศ ทำให้สถานประกอบการในการก่อสร้าง ภาคการผลิต รวมถึงภาคเกษตร มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ครม. มีมติให้นำเข้าแรงงานสัญชาติอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะแรงงานศรีลังกา รวมทั้งเนปาล ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมาทดแทนในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลน
4. การเกิดอันตรายจากการทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าการประสบอันตรายกรณีร้ายแรงจะมีสัดส่วนไม่มาก แต่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่า การสูญเสียเพียงนิ้วมือ หรือแขน จะทำให้แรงงานมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมแย่ลง อีกทั้งยังเกิดผลกระทบทางด้านจิดตใจที่ไม่อาจชดเชยได้อย่างครอบคลุม สถานประกอบการจึงควรบำรุงรักษา เครื่องมือ/เครื่องจักรอย่างครอบคลุม สถานประกอบการจึงควรบำรุงรักษา เครื่องมือ/เครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ อบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัย และการชดเชยให้แก่แรงงานอาจต้องคำนึงถึงค่าเสียโอกาส
นอกจากปัญหาทางเศรษฐกิจ สภาพัฒน์ยังเน้นย้ำถึงภัยเงียบที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี คือ ผลกระทบของการใช้ AI ต่อสมองและสุขภาพจิต จากการศึกษาพบว่า การใช้ AI ช่วยทำงานมากเกินไปจะลดความสามารถในการคิดเชิงลึกและเชื่อมโยงความคิด นอกจากนี้ การใช้ AI Chatbot เป็นเพื่อนอาจทำให้ผู้ใช้มีปัญหาด้านการเข้าสังคมและกลายเป็นคนโดดเดี่ยวมากขึ้น นอกจากนี้ สุขภาพจิตของคนไทยโดยรวมยังน่าเป็นห่วง โดยความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 7% ขณะที่สาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายยังคงมาจากปัญหาความสัมพันธ์ในระดับบุคคล ครอบครัว และการทำงาน
การบริโภคแอลกอฮอล์และบุหรี่ โดยรวมเพิ่มขึ้น 0.2% โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านแอลกอฮอล์ และที่น่าจับตาคือ บุหรี่ไฟฟ้า ที่มีการพัฒนาไปถึงรุ่นที่ 6 ซึ่งมีขนาดเล็กลงและใช้การจิ้มจมูกแทนการสูบ ขณะเดียวกัน อัตราการดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่ม Gen Z (อายุ 15-19 ปี) ก็เพิ่มสูงขึ้น อาชญากรรม คดีอาญาเพิ่มขึ้น 5.3% โดยเฉพาะคดียาเสพติดที่เพิ่มขึ้น 7.4% แม้อุบัติเหตุบนท้องถนนจะลดลง 0.2% แต่จำนวนผู้บาดเจ็บยังคงเพิ่มขึ้น
นายดนุชา กล่าวว่า ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือภัยคุกคามทางเพศ สภาพัฒน์ระบุว่าเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศมากที่สุดถึง 96.4% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจผิดในเรื่องความสัมพันธ์ต่างวัยที่ถูกนำเสนอในสื่อประเภทนิยายโรแมนติก การหลอกลวงออนไลน์แม้ว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์จะลดลงจากมาตรการปราบปราม แต่ปัญหาการร้องเรียนเรื่องการซื้อสินค้าออนไลน์ไม่ตรงปกยังคงสูงถึง 54%
สำหรับการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว แรงงานต่างด้าวไม่มาต่อใบอนุญาตทำงาน มาตรการเชิงบังคับในการดึงแรงงานกลับประเทศกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้แรงงานกัมพูชาในไทยในระบบมีทั้งสิ้น 5.2 แสนคน เดินทางกลับจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่กลับไปแล้วกว่า 80% อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาไทยบริหารจัดการแรงงานได้ระดับหนึ่ง เมื่อส่วนนี้หายไปก็ดึงแรงงานจากประเทศอื่น ผลกระทบอาจจะเห็นเฉพาะในระยะสั้น ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจมีไม่มาก ซึ่งปัจจุบัน ได้มีการเร่งหาแรงงานประเทศเมียนมาทดแทน และ ครม.มีมติเห็นชอบอนุมัติบันทึก ความร่วมือในการจัดหาแรงงานศรีลังกาเพิ่มเติม รวมถึงสัญชาติอื่นๆ อาทิ เนปาล ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย เป็นต้น