Rawmat Coffee แบรนด์น้องของ Casa Lapin เน้นสั่งผ่านแอป ราคาแมสๆ แต่เลือกเมล็ดได้
ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ดูท่าจะถดถอย หลายธุรกิจได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า กำลังซื้อของผู้บริโภคน้อยลง ตลาดกาแฟเองก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้อุตสาหกรรมอื่น ถึงแม้ว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่อง รวมไปถึงตลาดของกาแฟ Specialty จะยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคก็เริ่มคิดก่อนซื้อมากขึ้น
ส่งผลให้ร้านกาแฟ Specialty ราคาจับต้องได้ (Affordable Specialty Coffee) ที่มีราคาต่อบิลต่ำกว่า 100 บาท ได้รับความนิยมมากขึ้น อาจจะไม่สามารถเลือกเมล็ดได้แบบร้าน Specialty จ๋าๆ แต่ก็ยังสามารถเลือกระดับคั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วเข้มตามความชอบได้ เราจึงได้เห็นการขยายสาขาของร้าน 1:2 ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว หรือกระแสฮอตฮิตของ UNO Coffee ที่ขายกาแฟเกอิชาในราคา 85 บาท
ร้านกาแฟหลายแห่งมีการปรับตัว สู้ศึกเศรษฐกิจ รวมไปถึงสู้ศึกของราคาเมล็ดกาแฟที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะภาวะโลกร้อน โลกรวน
ร้านกาแฟคาซ่า ลาแปง (Casa Lapin) ภายใต้บริษัท บรูอิ้ง แฮปปี้เนส จำกัด หนึ่งในเครือ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) จึงส่งแบรนด์น้องRawmat Coffee ลงตลาด จับตลาดพรีเมียมแมส วางจุดยืนเป็น Digital First Coffee เน้นสั่งผ่านแอปพลิเคชั่น ราคาเริ่มต้น 55 บาท เลือกโทนของกาแฟได้
เอกชัย สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บรูอิ้ง แฮปปี้เนส จำกัด เล่าว่า
“ภาวะเศรษฐกิจส่งผลต่อตลาดกาแฟเช่นกัน ร้านที่มีราคา 100 บาทขึ้นไปจะเหนื่อยหน่อย ลูกค้าจะไปน้อยลง ไม่ถี่เท่าเดิม เราจึงปรับแผนไม่ขยายร้านแบรนด์ Casa Lapin มากเท่าไหร่ จึงเปิดแบรนด์ใหม่ Rawmat Coffee ระดับพรีเมียมแมส จะไม่ Specialty ขนาดนั้น เน้นสั่งผ่านแอปพลิเคชั่น”
Rawmat Coffee เปิดสาขาแรกที่ One Bangkok ชั้น B1 ซึ่งเอกชัยบอกว่าตอนแรกพื้นที่นี้จะเปิด Casa Lapin แต่ดูจากสมรภูมิของชั้นนี้แล้วน่าจะดุเดือด เพราะมีทั้ง 1:2, All Coffee, Pacamara และร้านอื่นๆ อีกมากมาย จึงปรับแผนเอาแบรนด์ใหม่เข้ามาแทน ถือเป็นโชว์เคสในการทดลองตลาดไปเลย
Rawmat Coffee จะมีราคาเริ่มต้นที่ 55 บาท มีทั้งเมนูกาแฟ และเมนูที่ไม่ใช่กาแฟ สามารถเลือก Taste Note ของกาแฟได้ เช่น Floral Fruity, Honey Candy, Nutty Chocolate และเมล็ดพิเศษที่บวกเพิ่ม 20 บาท
แบรนด์ใหม่นี้ใช้จุดแข็งของกลุ่มเจมาร์ทที่เป็นเทค คอมปานีในการพัฒนาแอปพลิเคชั่น ตั้งโจทย์ที่ว่าให้ลูกค้าสั่งผ่านแอปฯ แล้วมารับที่ร้าน ใช้เวลาในร้านไม่เกิน 5 นาที ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับร้าน กับพนักงานมากนัก ประหยัดค่าพื้นที่ โดยจะไม่มีที่นั่งในร้าน
หลังจากทดลองตลาดตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 มีทราฟิกลูกค้าเฉลี่ยวันละ 200 คน/วัน หรือยอดขายกาแฟ 400 แก้ว/วัน
โดยรูปแบบร้านจะมีพื้นที่ตั้งแต่ 9-70 ตารางเมตร ภายในสิ้นปีนี้จะมี 7 สาขา เน้นทำเลอาคารสำนักงานเป็นหลัก จับกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่คุ้นเคยกับการใช้แอปพลิเคชั่น โดยจะมีโปรโมชั่นสั่งผ่านแอปครั้งแรกในราคา 39 บาท และจะมีคูปองลด 10 บาทสำหรับซื้อแก้วต่อไปภายในวันเดียวกัน
ส่วน Casa Lapin ปัจจุบันมี 20 สาขา ไม่เน้นขยายสาขาเพิ่ม แต่พัฒนาสาขาเดิม สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ดีขึ้น