‘อ.ทองย้อย’ แพร่บทความ ‘เสพกามคาจีวร’ ย้ำเตือนหลักพระธรรมวินัย เมื่อพระต้องปาราชิก
12 กรกฎาคม 2568 - พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย ปราชญ์ชาวพุทธ อดีตผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ดีกรีเปรียญธรรม 9 ประโยค เผยแพร่บทความเรื่อง "เสพกามคาจีวร" ผ่านทางเฟซบุ๊กมีเนื้อหาดังนี้
ผมเห็นมีคนแสดงความคิดเห็นกันว่า สตรีที่ชอบเสพกามกับพระก็เพราะเสพกามคาจีวรมันเร้าใจดีพิลึก ถ้าคิดแบบนี้ ผมว่ามันคงจะแบบเดียวกับที่เราเรียกกันว่า “กามวิตถาร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บอกไว้ว่า -
กามวิตถาร : (คำนาม) การประกอบกามกิจที่ผิดปรกติวิสัย เช่น รักร่วมเพศ, การทรมานตนหรือผู้อื่นก่อนหรือในระหว่างร่วมเพศ. (คำวิเศษณ์) ผิดปรกติทางเพศเช่นนั้น.
“เสพกามคาจีวรมันเร้าใจดี” - ได้ยินความคิดเห็นแบบนี้ ผมก็เลยเกิดความคิดต่อยอด แล้วเขียนออกมาดังที่จะได้ว่าต่อไปนี้ …
ถ้าที่ผมเขียนนี้จะมีลีลาหยาบคายไปบ้าง ก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ เรื่องมันหยาบ ก็เลยต้องหยาบไปตามเนื้อผ้า
………………………
ถ้าต้องการความเร้าใจกับจีวร จะไปยากอะไร เสพกับแฟนหรือกับคนธรรมดาๆนี่แหละ แต่ไปหาจีวรมาเตรียมไว้ให้พร้อม
จีวรหาไม่ยาก ใช้สำนวนขายยาทางวิทยุเมื่อ ๗๐ ปีมาแล้วก็พูดได้ว่า "มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป" ถึงเวลาที่อยากเร้าใจ ก็โกนผมห่มจีวรเข้า ที่ควรโกนผมด้วยก็เพื่อให้ดูเนียนสนิทยิ่งขึ้น
แต่งตัวเป็นพระพร้อมแล้วก็บรรเลงกันให้เร้าใจไปถึงพรหมโลกโน่นเลย ทำไมจะต้องไปเสพกับพระจริงให้บาปเปล่าๆ
พระจริง พอปลาย "ไอ้นั่น" แหย่เข้าไป "ในที่ชุ่มประมาณเท่าเมล็ดงา" ก็สิ้นสภาพความเป็นพระทันทีไปแล้วอีหนูเอ้ย!
ยังละเมออยู่อีกละสิท่า-ว่า พระเสพเมถุน ต้องไปเข้าพิธีลาสิกขาก่อนจึงจะสิ้นสภาพ
ทันทีที่ใส่เข้าไปในที่ชุ่มประมาณเท่าเมล็ดงา พระจริงนั่นก็มีฐานะเป็นคน "โกนผมห่มจีวร" ธรรมดา ๆ เรียบร้อยไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ไอ้ตอนที่เร้าใจนั้น มันก็คือเร้าใจกับคนโกนผมห่มจีวรธรรมดา ๆ นั่นเอง แต่ไปจินตนาการ-ด้วยความโง่-ว่าหมอนั่นมันยังเป็นพระอยู่
นี่ถ้าฉลาด-เรียนรู้หลักพระวินัย-สักหน่อย ก็จะไม่ต้องพากันลงนรกทั้งคู่
เออ หรือว่า-คนจะลงนรกได้มันก็ต้องโง่ ๆ แบบนี้แหละ
คนฉลาด ใครที่ไหนเขาจะทำ
พุทธบัญญัติตรัสไว้ว่า พอเสพสำเร็จตามหลักเกณฑ์ ก็ “ปาราชิโก โหติ อสํวาโส” และ “อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย” ทันที
“ปาราชิโก โหติ อสํวาโส” ถอดความว่า หล่นลงไปจากพระธรรมวินัย อยู่ร่วมกับสงฆ์ไม่ได้อีกต่อไป
“อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย” ถอดความว่า ความเป็นพระหมดไปแล้ว ไม่ใช่พระในพระพุทธศาสนาอีกต่อไปแล้ว
ไม่ต้องไปเข้าพิธีลาสิกขาใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วก็ที่ว่า "เสพสำเร็จตามหลักเกณฑ์" ก็ไม่ได้แปลว่าต้องน้ำทะลักถึงจุดสุดยอดกอดกันไปสวรรค์แล้วจึงจะถือว่าความผิดสำเร็จ
ความผิดสำเร็จในกรณีเสพเมถุนนี้ ท่านกำหนดว่า - เอเตสุ นิมิตฺตสญฺญาเตสุ ยตฺถ กตฺถจิ อตฺตโน องฺคชาตํ ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวนฺโต ปาราชิกํ อาปชฺชติ ฯ
ภิกษุเสพเมถุนสอดองคชาตของตนเข้าไปในบรรดามรรคทั้ง ๓ ที่รู้กันว่าเป็นเครื่องหมายนั้น-มรรคใดมรรคหนึ่ง แม้เพียงเมล็ดงาเดียว ย่อมต้องปาชาชิก
ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค ๑ หน้า ๓๑๒
“มรรคทั้ง ๓” ก็คือ -ปัสสาวมรรค = อวัยวะเพศของฝ่ายหญิง
อุจจารมรรค = ทวารหนัก
มุขมรรค = ปาก
คำว่า “แม้เพียงเมล็ดงาเดียว” ก็ลองเอางามาเมล็ดหนึ่ง เอาทางแหลมของเมล็ดงาแหย่เข้าไปในมรรคทั้ง ๓ นั้นจนมิดเมล็ดงา
เอา “ไอ้นั่น” ใส่เข้าไปลึกขนาดนั้นแหละ
ปาราชิกรับประทานทันที
ไม่ใช่ว่าต้องให้น้ำทะลักก่อนจึงจะเป็นปาราชิก
ความเป็นพระตามพระธรรมวินัยสิ้นสุดลงทันที
ไม่ใช่ว่าต้องทำพิธีลาสิกขาก่อนจึงจะสิ้นสุด
………………………
หลักเกณฑ์พวกนี้ ผมเชื่อว่าคนทั้งหลายไม่ได้เคยศึกษาเรียนรู้กันเลย ใช้ความเข้าใจเอาเองนำหน้าตลอด
ในเมืองไทยของเรานี้ ใครบ้างหรือหน่วยงานไหนบ้างมีหน้าที่ให้ความรู้หลักพระธรรมวินัยแก่ผู้คนในสังคม? ใครรู้ ช่วยบอกที ช่วยไปบอกคนนั้นที หรือบอกหน่วยงานนั้นทีนะครับ ไม่ใช่บอกผมที
………………………
ถ้าอยากได้พระเป็นผัว วิธีที่ถูกต้องคือบอกให้พระสึกก่อนแล้วค่อยล่อกัน แบบนี้ไม่ตกนรก แต่ถ้าล่อกันทั้งเป็นพระ นรกทั้งคู่ครับ
ส่วนกรณีที่แบล็คเมล์พระเป็นอาชีพนั่น นรกชัวร์อยู่แล้ว อยู่ในฐานะเดียวกับพวกลักกินขโมยกินปล้นกินโกงกินหลอกลวงเขากินนั่นแหละ
พวกนี้ ไม่ต้องรอถึงนรกชาติหน้า แค่ชาตินี้นี่แหละ ตามไปดูอนาคตดูเถิด ไม่มีเจริญสักตัว
จริงอยู่ คนชั่วมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน่นแล้ว พระพุทธเจ้ายังอยู่แท้ ๆ ก็ยังมีพระปาราชิก นับประสาอะไรกับสมัยนี้
แต่ถ้าช่วยกันให้ความรู้ ช่วยกันย้ำเตือนให้ตระหนักถึงหลักพระธรรมวินัยไว้เสมอ ๆ ก็น่าจะพอช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง ความยับยั้งชั่งใจอาจจะมีมากขึ้น
กามวิตถารประเภท-เสพกามคาจีวรจึงจะเร้าใจอาจจะมีน้อยลง และ-ตกนรกกันน้อยลงด้วย
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา