‘นักประวัติศาสตร์’ หนุน ‘มทภ.2’ วางกำลังบริเวณ ‘ปราสาทพระวิหาร’ ก่อนแจ้งยูเอ็นขอทวงคืน
25 ก.ค. 2568 - นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ เผยแพร่ จดหมายเปิดผนึก
ถึง แม่ทัพภาคที่ 2 มีใจความว่า ผมได้รับทราบข่าวว่า ทหารไทยของเราได้เข้ายึดและควบคุมบริเวณวัดแก้วสิกขาคิรีสวาระ และถนนทางขึ้นตัวปราสาทพระวิหาร รวมถึงภูมะเขือ ได้แล้ว
ผมขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่แผ่นดินไทยของเรากลับคืนสู่การควบคุมของไทย ผมจึงขอนำเสนอข้อมูลอันน้อยนิดเผื่อจะมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของท่านต่อไปดังนี้
1. คำวินิจฉัยของศาลโลกที่ตีความคำวินิจฉัยในคดีปราสาทพระวิหาร ว่าไทยต้องถอนกำลังทหารและยามรักษาการณ์ออกจากอาณาบริเวณตัวปราสาท ซึ่งเราได้ปฏิบัติไปตามพันธกรณีไปแล้วตั้งแต่ 2505 แต่เมื่อศาลโลกมาเน้นย้ำอีกครั้ง พื้นที่นั้นก็ไม่ครอบคลุมถึงภูมะเขือและบริเวณวัดแก้วสิกขาคิรีสวาระ แต่กัมพูชารุกล้ำขึ้นมา และมีการตัดถนนสายหลักเข้าสู่ตัวปราสาท ทั้งๆที่กัมพูชาไม่มีสิทธิ์ เพราะทางขึ้นทางเดียวที่กัมพูชาจะขึ้นมาได้คือ “บันไดหัก” ทางตะวันออกของตัวปราสาทเท่านั้น ดังนั้นท่านแม่ทัพอาจต้องวางกำลังทหารเอาไว้และตั้งค่ายตรงบริเวณวัดแก้วฯ ซึ่งเป็นอธิปไตยของไทย เป็นอุทยานแห่งชาติและเขตโบราณสถานที่เราเคยประกาศ
2. เมื่อกัมพูชามีปัญหาเรื่องทางขึ้น รัฐบาลไทยต้องส่งหนังสือไปยังคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อประท้วงการรุกล้ำอธิปไตยไทยของกัมพูชาและแขวนมรดกโลกปราสาทพระวิหารเป็น Danger Zone รวมถึงไทยควรถือโอกาสนี้ส่งหนังสือแจ้งเลขาธิการสหประชาชาติขอปราสาทพระวิหารคืนตามหนังสือสงวนสิทธิ์ที่เรายื่นเอาไว้ (ข้อสงวนสิทธิ์ไม่มีอายุความ เหมือนที่เราทำไว้ก่อนหน้านี้ในกรณีการแบ่งเขตแดนกับลาว)
3. เราควรจัดตั้งกองกำลังขึ้นไปอยู่ประจำการแบบถาวร
ผมขอเสนอในเบื้องต้นแบบเร่งด่วน และขออำนวยพรให้กองทัพไทยมีชัยชนะ ทหารของเราปลอดภัยและประสบผลสำเร็จทุกประการ
ขอแสดงความนับถือ
เทพมนตรี ลิมปพยอม
25 กรกฎาคม 2568
นายเทพมนตรี โพสต์อีกว่า คณะกรรมการมรดกโลกไม่เคยสนใจปัญหาปราสาทพระวิหาร เพราะกัมพูชาวางกองกำลังทหารติดอาวุธซุกซ่อนเอาไว้ตลอดเวลา นับตั้งแต่ได้เป็นมรดกโลก ซึ่งกระทำผิดตามมาตรา 11 วรรค4ของอนุสัญญาฯ